1. การเอาเลือดของผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ออกมาไหลเวียนผ่านเครื่องความร้อนแล้วกลับคืนเข้าร่างกายเป็นวิธีรักษาได้หรือไม่
เคยมีรายงานว่ามีคนติดเชื้อเอดส์
1 ราย ที่ได้รับการทดลองรักษาโดยนำเลือดออกมาไหลเวียนผ่านเครื่องให้ร้อนประมาณ
56 องศาเซลเซียส และต่อมาตรวจไม่พบเชื้อเอดส์ในเลือดของคนนั้นอีกเลย
แต่เมื่อนักวิทยาศาสตร์ ลองใช้วิธีกับคนอื่นกลับไม่ได้ผล
และยังไม่แน่ใจว่าคนแรกนั้นจะมีเชื้อหลงเหลืออยู่ในอวัยวะอื่นใดหรือไม่
นักวิทยาศาสตร์จึงยังไม่ยอมรับวิธีนี้เป็นวิธีการรักษาโรคเอดส์
2. ยาที่ใช้รักษาโรคเอดส์มีอะไรบ้าง
ยาที่มีการทดลองใช้กันค่อนข้างมากอยู่ในขณะนี้โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาคือ
Zidovudine (AZT) ,2,3 Dideoxycytidine, Suramin,
Atimony tungstate (HPA-23), Foscanet, Rifabutin,
CS-85, CS-87, HIPA, HPG-30, SIllcotungstate, Peptide-T,
Dextran Sulphate , AL721, Castanospermine, interferon,
Ampligen, ABPP, Avaro, Ribavirin, interlukin-2,
GM-CSF, Methionine, Enkephalin, Thymopentin, Imreg-1,
Imreg-2, Imuthiol, Carrysyn, Videx(ddI) เป็นต้น
ยาเหล่านี้ส่วนใหญ่มีฤทธิ์สามารถยับยั้งไวรัสได้ในหลอดทดลอง
แต่หลายชนิดเมื่อเข้าไปในร่างกายแล้ว ไม่ได้ผล
บางชนิดมีพิษหรือผลข้างเคียงมากจำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์
บางชนิดต้องให้โดยการฉีดเท่านั้น และหลายชนิดยังเป็นยาทดลอง
ไม่สามารถหาซื้อตามท้องตลาดได้
ส่วนใหญ่ที่พอมีขายตามท้องตลาด (เมืองนอก) เป็นยาที่มีราคาแพงมากทั้งสิ้น
แต่ก็ไม่มียาใดรักษาโรคให้หายขาดได้ ยาที่ยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายขณะนี้คือAZT และที่กำลังทดลองได้ผลดีเช่นเดียวกัน และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า
AZT ก็คือ VIDEX (ddI)
3. ในอนาคตจะมียาที่สามารถรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้หรือไม่
มีโอกาสเป็นไปได้
เพราะมนุษย์มีการพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านวิทยาการและเทคโนโลยีที่สูง
โรคเอดส์ถึงแม้จะเป็นไวรัสที่มีการพัฒนาสูงสุดของบรรดาไวรัสทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก
แต่ก็ไม่น่าจะเกินความสามารถของมนุษย์อย่างแน่นอน
4. สมุนไพรสามารถรักษาโรคเอดส์ได้หรือไม่
การทดลองใช้สมุนไพรในการรักษาโรคเอดส์ได้เกิดข้นในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย
แต่เนื่องจากยังไม่ได้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าสามารถทำการรักษาได้จึงควรจะรอผลการวิจัยเรื่องสมุนไพรจากนักวิทยาศาสตร์ก่อน
ไม่ควรเสี่ยงเป็นเครื่องทดลอง เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตราย
และเสียทรัพย์ให้แก่คนที่หลอกลวงได้
5. มะเร็งที่เป็นในผู้ป่วยโรคเอดส์มีทางรักษาได้หรือไม่
มะเร็งที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคเอดส์คือ
มะเร็งของหลอดเลือดที่ผิวหนัง และมะเร็งของต่อมน้ำเหลือง
เป็นมะเร็งที่สามารถรักษาได้ ถึงแม้การรักษาจะค่อนข้างยาก
หรือผลการรักษาจะไม่ค่อยดี แต่ก็สามารถทำให้มะเร็งไม่ลุกลามหรือไม่แพร่กระจายต่อไปได้
ทำให้ผู้ป่วยไม่เสียชีวิตจากมะเร็งนั้นๆและมีอายุยืดยาวต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง
6. โรคติดเชื้อแทรกซ้อนหรือโรคติดเชื้อฉวยโอกาสมีทางรักษาหรือไม่
การรักษาโรคแทรกซ้อนอื่นๆสามารถรักษาได้
เพียงแต่รักษายากกว่าในคนปกติและส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะกลับติดโรคอื่นๆซ้ำอีก
7. คนที่ติดเชื้อเอดส์เป็นคนที่สิ้นหวังแล้ว
ใช่หรือไม่
ไม่ใช่
เพราะ
- หากดูแลรักษาสุขภาพตนเองให้ดี
ระยะฟักตัวของโรคเอดส์โดนเฉลี่ยประมาณ 7-8
ปี และอาจจะไม่ปรากฏอาการในบางรายได้นานกว่า
10 ปี
- การพัฒนายารักษาโรคเอดส์อยู่ระหว่างการดำเนินการของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
จึงมีโอกาสที่จะค้นพบยารักษาได้ในอนาคต
8. เลิกยาเสพติดแล้วเชื้อเอดส์จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ถ้าเลิกยาเสพติดได้สุขภาพจะทรุดโทรมช้าลงเชื้อเอดส์จะไม่เพิ่มเร็วขึ้นเหมือนกับการใช้ยา
เสพติดต่อไป
และจะไม่กลายเป็นโรคเอดส์ระยะสุดท้ายเร็วนัก
9. ถ้าถ่ายเลือดในตัวออกหมดแล้วเปลี่ยนเลือดใหม่หมดจะหายจากโรคเอดส์หรือไม่
ไม่หายขาด
เพราะเชื้อเอดส์ยังมีอยู่ในเซลล์ของร่างกายได้อีกหลายแห่ง
เช่น เซลล์ของสมอง เซลล์ของลำไส้
น้ำอสุจิ จึงยังจะมีเชื้อเหลืออยู่
นอกจากนี้การเปลี่ยนเลือดทั้งตัวต้องใช้เลือดจำนวนมากจากคนอื่น
ๆ อีกหลายคนซึ่งอาจมีอันตรายจากการถ่ายเลือดได้
10. ถ้าสามีภรรยาติดเชื้อเอดส์จากการเสพยาเสพติดโดยใช้เข็มร่วมกันและยังเสพยาด้วยกัน
จะทำให้เชื้อเอดส์เพิ่มขึ้นหรือไม่
จะทำให้เชื้อเอดส์เพิ่มเร็วขึ้น
เพราะร่างกายทรุดโทรมอ่อนแอลง จากการเสพยาประกอบกับผู้ติดเชื้อเอดส์
เชื้อในร่างกายจะเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว หากยังคงใช้ยาเสพติดอยู่ก็จะทำให้เกิดอาการของโรคเอดส์เร็วขึ้น
และสามีคู่นี้ควรจะใช้ถุงยางอนามัย ในการร่วมเพศเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้รับเชื้อเอดส์เพิ่มขึ้นและป้องกันการตั้งครรภ์เพราะเชื้อเอดส์จากมารดาอาจถ่ายทอดไปยังทารกใน
ครรภ์ได้
11. ผู้ที่ติดเชื้อเอดส์
ควรจะปฏิบัติตนอย่างไร
ดูแลสุขภาพให้ดี
โดย
- ทำจิตใจให้แจ่มใส
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- ไม่รับเชื้อเอดส์เพิ่ม
- ออกกำลังกาย
และพักผ่อนให้เพียงพอ
- ลดหรือเลิกการสูบบุหรี่
และสุรา เพราะจะทำให้ร่างกายอ่อนแอยิ่งขึ้น
การป้องกันตนไม่ให้แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
- ต้องแยกเครื่องใช้ส่วนตัวบางชนิด
เช่นแปรงสีฟัน มีดโกน
- ลดคู่นอนให้น้อยลง
และเลิกการมีพฤติกรรมเสี่ยง
- ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- ไม่ใช้เข็มฉีดยาและกระบอกฉีดยาที่ไม่สะอาดร่วมกับผู้อื่น
- ไม่ให้เลือด
น้ำหนอง น้ำเหลือง น้ำคัดหลั่งของร่างกาย
เปรอะเปื้อนจามที่ต่าง ๆ
- งดบริจาคเลือด
อวัยวะของตนแก่ผู้อื่น
- ไม่ควรตั้งครรภ์
หรือให้นมบุตรถ้ามีทางเลือกอื่น
หากมีอาการเจ็บป่วยอื่นๆให้รีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน
และแจ้งให้แพทย์ทราบถึงภาวะการติดเชื้อเอดส์ของตน
|