1. ถ้าทราบว่ามีเชื้อเอดส์ในร่างกาย
แต่ยังมีความต้องการทางเพศ และไม่ต้องการให้ไปติดผู้อื่นจะทำอย่างไร
ผู้ติดเชื้อในระยะแรกยังไม่มีอาการ
สุขภาพจะเหมือนคนปกติทั่วไปจึงยังมีความต้องการทางเพศอยู่ถ้าไม่ต้องการให้ไปติดผู้อื่น
ควรหาทางออกด้วยการกระทำต่อไปนี้คือ
- หมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ
เพื่อลดความต้องการทางเพศลงและยังทำให้ร่างกายแข็งแรง
ด้วย
- อาจต้องสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองด้วยมือ
หรือเครื่องมือต่างๆ ที่ทำความสะอาดดีแล้ว
- หากจะร่วมเพศให้ใช้ถุงยางอนามัย
และปฏิบัติการทางเพศอย่างปลอดภัยที่เรียกว่า
“Safe sex”
2. ภรรยาจะแนะนำอย่างไร
เมื่อสามีไปเที่ยวหญิงบริการ
เรื่องนี้ทางภรรยา
และสามีควรคุยกันให้เข้าใจ เพราะการเที่ยวผู้หญิงของสามีนี้
ควรจะดูปัญหาในครอบครัวให้รอบคอบว่า เพราะเหตุใดสามีจึงชอบเที่ยว
เช่น ปัญหาที่พบกันบ่อย ๆ คือ
- สามีมีนิสัยไม่ค่อยจะรับผิดชอบ
ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบลองของใหม่
- ภรรยาชอบทำตัวน่าเบื่อหน่าย
จู้จี้ขี้บ่น เวลาจะหลับนอนร่วมกันก็สร้างปัญหาทำให้สามีเบื่อหน่าย
เป็นต้น
- สามีที่ชอบเที่ยวเตร่
สังสรรค์บ่อยๆในหมู่เพื่อนผู้ชาย ซึ่งสุดท้ายก็จะพากันไปเที่ยวผู้หญิงเพราะฤทธิ์ของสุรา
ซึ่งปัญหาทั้งหมดนี้
ภรรยาสามารถคุยกับสามีได้ โดยการพูดคุยกันว่าการเที่ยวควรจะป้องกันตัวอย่านำเชื้อโรคมาติดลูกติดเมีย
และทางที่ดีที่สุดสามีไม่ควรจะเที่ยวเลย
3. ภรรยาจะป้องกันตนเองได้อย่างไร
เมื่อสามีมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์
ควรพูดกับสามีโดยตรง
เพื่อให้สามีใช้ถุงยางอนามัย หรือในปัจจุบันมีถุงยางสำหรับสตรี
เริ่มที่จะออกวางขายแล้ว
4. สามีควรพูดถึงการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยกับภรรยาหรือไม่
ควรอย่างยิ่ง
หากตัวสามียอมรับกับตนเองว่ามีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเอดส์
เพราะอาจ เป็นสาเหตุของการนำเชื้อเอดส์มาติดภรรยาได้
5. การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองมีโอกาสติดเชื้อเอดส์หรือไม่
ไม่มีโอกาสติดเชื้อเอดส์
เพราะการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ไม่ได้สัมผัสกันน้ำอสุจิ
น้ำในช่องคลอดของผู้ติดเชื้อ
6. ถ้ายังติดยาเสพติดอยู่
และต้องใช้เข็มฉีดยาร่วมกันจะต้องทำอย่างไรบ้าง
ควรล้างทำความสะอาดเข็มและกระบอกฉีดยาด้วยน้ำยาคลอร็อกซ์
หรือน้ำยาไฮเตอร์
หลายๆครั้ง
แต่วิธีนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ป้องกันการติดเอดส์ได้
100% แต่สามารถลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ได้
7. ถ้าจะนำผู้ติดเชื้อเอดส์มากักกัน
เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่ระบาดไปสู่บุคคลอื่นเป็นการสมควร
หรือไม่
ไม่ควรอย่างยิ่ง
เพราะการที่จะให้ผู้อื่นติดเชื้อเอดส์จำนวนมากมายมารับการกักกัน
เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และจะก่อให้เกิดปัญหาสังคมขึ้นได้
ผู้ที่ติดเชื้อเอดส์บางรายไม่ได้ติดจากพฤติกรรมของเขาเองเช่นมารกที่เกิดมาจากมารดาที่ติดเชื้อเอดส์
และนอกจากนี้เราไม่สามารถบอกได้ว่าใครติดเชื้อเอดส์
เพราะผู้ติดเชื้อระยะแรกจะไม่มีอาการและแข็งแรงเป็นปกติ วิธีป้องกันการแพร่ระบาดที่ดีคือ ให้ความรู้และแนวทางในการปฏิบัติตนที่จะไม่ให้ติดเชื้อเอดส์
หรือแพร่ไปสู่ผู้อื่น
8. มีน้ำยาอะไรที่ใช้ทำลายเชื้อเอดส์ได้
น้ำยาที่สามารถทำลายเชื้อเอดส์ได้มีดังต่อไปนี้
คือ
- โซดียม
ไฮโปคลอไรด์ 0.1 - 0.5 % แช่นาน
15-30 นาที
- แอลกอฮอล์
25-95? แช่นาน 15-30 นาที
- ไอโซโปรบิล
35-70? แช่นาน 15-30 นาที
- ทิงเจอร์ไอโอดีน
แช่นาน 15-30 นาที
- ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
3-6? แช่นาน 15-30 นาที
- ฟอร์มาลีน
2-4? แช่นาน 15-30 นาที
- กลูตาอัลดีไฮด์
แช่นาน 15-30 นาที
- ไดโซล
0.5-3? แช่นาน 15-30 นาที
- ฟีนอล
5? แช่นาน 15-30นาที
- โซเดียมไฮดรอกไซด์
30 mmol แช่นาน 15-30 นาที
- โนนิเนท
พี 40 0.5-1? แช่นาน
15-30 นาที
นอกจากนี้ความร้อนมากกว่า
55 องศาเซลเซียส นาน 10-20 นาที
ก็สามารถทำลายเชื้อได้
9. สบู่ใช้ทำลายเชื้อเอดส์ได้หรือไม่
แม้สบู่จะไม่ใช่ยาฆ่าเชื้อโดยตรง
แต่ก็ช่วยชำระล้างและลดปริมาณเชื้อลงได้มากกว่า
80? หากทำความสะอาดอย่างดีทำให้ลดโอกาสติดเชื้อเอดส์ลงได้
10. จะมีทางยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ได้หรือไม่
ได้
โดยการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องโรคเอดส์ที่ถูกต้อง
พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
เช่น การไม่ใช้เมฉีดยาร่วมกัน การไม่เที่ยวหญิงบริการ
เลิกการสำส่อนทางเพศ ในขณะเดียวกันการใช้ถุงยางอนามัย ก็จะเป็นหนทางเดียวที่จะชะลอการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ได้
และในกรณีที่ติดเชื้อแล้วควรจะระมัดระวังไม่รับเชื้อเพิ่มมาอีก
พยายามรักษาสุขภาพให้ดีให้แข็งแรงอยู่เสมอ และไม่แพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่น
ถึงแม้จะไม่มีวัคซีนป้องกันโรคเอดส์
แต่เราก็มีความรู่พอที่จะป้องกันมันได้
11. ถุงยางอนามัยบางชนิดมีน้ำยาฆ่าเชื้อเอดส์อยู่ด้วยใช่หรือไม่
ใช่
ถุงยางบางชนิดมี Nonoxynol-9 หรือ Nonoxynol-11
ซึ่งสามารถฆ่าเชื้ออสุจิได้ และช่วยฆ่าเชื้อเอดส์ได้บ้าง
ทำให้โอกาสติดเชื้อเอดส์มีน้อยลง
12. ถุงยางอนามัยดีอย่างไร
- ถุงยางอนามัยถ้าใช้อย่างถูกวิธี
สามารถช่วยในการคุมกำเนิด โดยมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยาเม็ดคุมกำเนิด
- ถุงยางอนามัยไม่มีผลข้างเคียงเหมือนวิธีการอื่น
- ถุงยางอนามัยใช้เฉพาะเวลาที่ต้องการเท่านั้น
- ถุงยางอนามัยไม่ทำให้หญิงบริการต้องเสี่ยงและต้องคอยระมัดระวังตัว
- ถุงยางอนามัยซื้อหาได้ง่าย
ใช้ง่าย ไม่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
- ถุงยางอนามัยช่วยป้องกันการแพร่กระจายโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์รวมทั้งโรคเอดส์
- ถุงยางอนามัยช่วยให้ฝ่ายชายหลั่งน้ำอสุจิช้าลงบ้าง
จนพอดีกับความรู้สึกสุดยอดของฝ่าย หญิง
จึงมีการนำมาใช้ในการรักษาภาวะที่เกิดการหลั่งน้ำอสุจิเร็วของผู้ชาย
- ถุงยางอนามัยสามารถตรวจเช็คได้หลังจากมีเพศสัมพันธ์ว่าฉีกขาดหรือไม่และสามารถมั่น
ใจได้ถ้าใช้อย่างถูกวิธี
13. การใช้ถุงยางอนามัยให้ถูกต้องควรจะปฏิบัติอย่างไร
ข้อแนะนำเกี่ยวกับถุงยางอนามัย
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- เลือดซื้อถุงยางที่มีคุณภาพโดยดูวันที่ผลิตและวันหมดอายุ
(ถ้าไม่มีวันหมดอายุ ให้นับจากวันที่ผลิตไป
3 ปี ถ้ายังไม่เกิน 3 ปี
แสดงว่ายังใช้ได้)
- เลือกใช้ขนาดของถุงยางอนามัยให้เหมาะกับขนาดของตนเอง
ถ้าเล็กไปมักจะฉีกขาดง่าย ถ้าใหญ่เกินมักจะหลุดง่าย
- จงสวมถุงยางก่อนที่จะมีกิจกรรมทางเพศสัมพันธ์
- บีบไล่ลมออกจากส่วนปลายถุงยางตรงที่เป็นกระเปาะก่อนจะสวมเสมอ
เพื่อไม่ให้ลมที่ค้างอยู่เป็นตัวทำให้ถุงยางแตก
- อย่าดึงถุงยางขึ้นมาจนสุด
ให้เหลือส่วนปลายตรงที่เป็นกระเปาะไว
้สำหรับรองรับน้ำอสุจิ ิเสมอ
- ให้คลี่ถุงยางออกจนคลุมถึงส่วนโคนของอวัยวะเพศด้วย
- ถ้าถุงยางแตกระหว่างมีเพศสัมพันธ์อยู่
ให้นำออกมาเปลี่ยนและสวมอันใหม่ทันที
- เมื่อมีการหลั่งน้ำอสุจิแล้ว
ให้ถอดถุงยางออกในระหว่างที่อวัยวะเพศยังแงอยู่ห้ามแช่อวัยวะเพศไว้ในช่องคลอด
- การถอดถุงยางให้ใช้กระดาษชำระพันรอบขอบถุงยางให้กระชับอวัยวะเพศไว้ก่อน
แล้วถอดถุงยางออก อย่าให้เปื้อนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
- เมื่อจะมีเพศสัมพันธ์ครั้งใหม่ให้เปลี่ยนถุงยางอนามัยทุกครั้งเสมอ
- ถ้าจะใช้สารหล่อลื่น
ควรใช้สารหล่อลื่นเช่น ky หรือ xy เยลลี่ห้ามใช้สารหล่อลื่นที่มีน้ำมันอยู่ด้วย เช่น
ครีมแต่งผม หรือน้ำมันอื่นๆ เพราะจะทำให้รั่วและขาดง่าย
ห้ามใช้น้ำลายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นตัวหล่อลื่นเพราะอาจมีเชื้ออยู่
- ถุงยางที่ยังไม่ได้ใช้
ถ้าเป็นไปได้ให้เก็บไว้ในที่เย็นและแห้ง เพื่อให้มีอายุใช้นาน
ถ้าถุงยางมีลักษณะเหนียวเหนอะหรือสงสัยว่าจะแตก
ไม่ควรนำมาใช้
|