กัณฑ์ที่ 11 มหาราช มี 69 พระคาถา
เมื่อชูชกได้รับพระราชทานสองกุมาร คือ พระชาลี และพระนางกัณหาจากพระเวสสันดรแล้ว ก็พาเดินมาตามทางในป่าใหญ่ ค่ำลงที่ไหนก็ผูกสองกุมารไว้ที่โคนต้นไม้ ตัวแกปีนขึ้นต้นไม้ผูกเปลนอน เพื่อให้พ้นภัยจากสัตว์ร้าย หากจะพึงมีขึ้นในค่ำคืนนั้นๆ
ในเวลากลางคืน มีเทพบุตร เทพธิดา ๒ องค์ มีความสงสารสองกุมารมากจึงแปลงร่างกายคล้ายพระเวสสันดร และพระนางมัทรี เดินมาพบกุมารทั้งสองแล้วก็จัดแจงแก้เถาวัลย์ที่ผูกมือออก จัดให้อาบน้ำชำระร่างกาย ให้บริโภคอาหารอันเป็นทิพย์ และให้นอนเหนือตัก กล่อมให้หลับสนิท ครั้นจวนสว่าง ก็จัดแจงผูกสองกุมารไว้เช่นเดิม แล้วก็อันตรธานไป พากันบำรุงสองกุมารโดยวิธีนี้ตลอดทางที่พักแรมในป่าทุกราตรี
ครั้นเวลาเช้า ชูชกลงจากต้นไม้ พาสองกุมารเดินทางต่อไป ค่ำลงที่ไหนก็พักแรมโดยวิธีการดังกล่าวข้างต้น ครั้นถึงทางแยกสองแพร่ง ทางหนึ่งจะไปนครกาลิงคะทางหนึ่งจะไปนครสีพี เทพเจ้าดลใจให้ชูชกหลงทางเดินไปทางนครสีพีตลอดเวลา ๑๕ ราตรี ชูชกก็พาสองกุมารถึงพระนครสีพี
ในคืนวันสุดท้าย ที่ชูชกพาสองกุมารมาถึงนครสีพีนั้น พระเจ้ากรุงสัญชัยทรงสุบินในเวลาใกล้รุ่งว่า มีบุรุษหนึ่งนำดอกบัวงามสองดอกมาถวาย พระองค์ทรงรับไว้ด้วยพระหัตถ์แล้วยกขึ้นทัดพระกรรณ กลิ่นดอกบัวตลบชื่นพระนาสา แล้วทรงตื่นบรรทม โปรดให้โหรทำนายความฝัน โหรทำนายว่า จะทรงพบญาติที่สนิทในเร็ววันนี้ พระองค์ทรงปราโมทย์ยินดี ครั้นได้เวลาก็เสด็จออกมาประทับยังหน้าพระรานหลวง ไม่ช้า ชูชกก็พาสองกุมารมาถึงหน้าพระที่นั่งเทพเจ้ากำบังมิให้ใครรู้จักทักท้วงห้ามปรามแต่อย่างใด จนพระเจ้ากรุงสัญชัยทอดพระเนตรเห็นสองกุมาร ก็โปรดให้อำมาตย์นักการไปนำชูชกและสองกุมารไปเข้าเฝ้า โปรดให้ชูชกเล่าถึงการนำสองกุมารมาแต่เขาวงกตจนถึงนครสีพี ต่อจากนั้น ก็โปรดให้เบิกพระราชทรัพย์มาไถ่พระชาลีและพระกัณหา ตามพิกัดค่าที่พระเวสสันดรกำหนดไว้ ซึ่งพระชาลีกราบทูลถวายให้ทรงทราบทุกประการ
พระเจ้ากรุงสัญชัย ยังพระราชทานปราสาทให้ชูชกพักเป็นรางวัลทั้งสาวสนมกำนัน จัดโภชนาหารอันประณีตมาบำรุงบำเรอให้บริบูรณ์ ทุกเวลาแล้ว โปรดให้เจ้าพนักงานเชิญพระชาลีและพระนางกัญหาเข้าห้องสรงชำระพระองค์ให้หมดจดต้องสุคันธรสวารี ตกแต่งพระอินทรีย์ด้วยเครื่องกษัตริย์ คืออาภรณ์โขมพัสตร์ และสร้อยสุพรรณรัตนสังวาลย์ แล้วอันเชิญเข้าสู่พระราชพิธีสมโภชรับขวัญในการจากป่าหิมวันต์เข้าสู่พระนครด้วยสวัสดี
ต่อนั้นพระเจ้ากรุงสัญชัย จึงทรงปราศรัยถามพระชาลีถึงทุกข์สุขของพระเวสสันดร พระชาลีก็รำพันความทุกข์ร้อนของพระบิดาและพระมารดา ตั้งต้นแต่การแสวงหาผลไม้และรากไม้ในป่าอันเป็นความทุกข์ทรมานสุดประมาณ ก่อให้เกิดความสงสารแก่พระอัยกาเป็นอย่างหนักเพิ่มพูนความรักในพระโอรสด้วยระลึกถึงความหลัง จึงตรัสว่า ใช่อัยกาจะชิงชังแล้วขับพระพ่อเจ้าก็หาไม่ หากเพราะชาวเมืองมันใส่ไคล้ให้ปู่เชื่อด้วยมารยา ปู่จึงขับพระบิดาและมารดาให้นิราศไปหิมพานต์พระชาลีจึงทุลสารวิงวอนพระเจ้ากรุงสัญชัย ให้ยกแสนยากรครรไลไปรับพระบิดาและพระมารดากลับคืนยังพระพาราสีพี พระอัยกา ก้ทรงยินดีดังคำพระนัดดาจึงตรัสสั่งพระขันธ์ไปเขาวงกต ไปเชิญพระโอรสทั้งสองกลับคืนมาครองธานีก็พอดีชุชกนักภิกขาจารกินอาหารเกินขนาด เตโชธาตุไม่ย่อยพยุงชีวิตในที่สุดก็ดับจิต ชีวิตตักษัยพระเจ้ากรุงสัญชัยจึงให้ประกาศทายาทของชูชก มารับมรดกที่ได้รับพระราชทานไว้ เมื่อไม่มีผู้ใดมารับก็โปรดให้นำกลับเข้าเป็นของหลวงตามประเพณี
ครั้นใกล้เวลา ให้เคลื่อนยีทวยทหาร ก็พอดีพระเจ้ากรุงกาลิงคะโปรดให้พราหมณ์นำคชสารปัจจัยนาคที่พระเวสสันดรทรงบริจาคถวายไป กลับคืนถวายมายังนครสีพี พระเจ้ากรุงสัยชัยก็ทรงเปรมปรีดิ์ปราโมทย์ ให้นำช้างปัจจัยนาคเข้ากระบวนทัพ เพื่อใก้รับพระเวสสันดรยังสิงขรเขาวงกต ตามกำหนดรุ่งอรุณราตรี โปรดให้พระชาลีทรงช้างปัจจัยนาค นำกระบวนทัพ เสียงช้างม้าร้องฆ้องแตรกระแสศัพท์ดังสนั่นมี่ ครั้นได้ฤกษ์ กษัตริย์ทั้งสี่คือ พระเจ้ากรุงสัยชัย พระนางเจ้าผุสดี พระชาลี และ พระนางกัณหา พร้องด้วยกระบวนทัพ ก็ยาตราจากพระนคร มุ่งหน้าตรงยังสิงขรเขาวงกต ซึ่งเป็นที่ตั้งอาศรมบทแห่งพระราชฤาษี ได้ห้าสิบสามราตรีจึงถึงอาศรมสถาน แห่งพระเวสสันดร และมิ่งเยาวมาลย์มัทรี ซี่งทรงเพศพระฤาษีสังวร สำรวมใจสมควรแก่วิสัยผู้ประพฤติพรหมจรรย์นั้นแล
จบความย่อ ปี่พาทย์ทำเพลงกราวนอก
อานิสงส์
ผู้บูชากัณฑ์มหาราช จะได้มษุษย์สมบัติ สวรรค์และนิพพานสมบัติเมื่อเกิดเป้นมนุษย์ จะได้เป็นราชา เมื่อจากดลกมนุษย์ไป ก็จะได้เสวยทิพย์สมบัติในฉกามาพจรสวรรค์ มีนางเทพอัปสรเป็นบริวาร ครั้นบารมีแก่กล้าก็จะได้นิพพานสมบัติ อันตัดเสียซึ่งชาติ ชรา พยาธิ มรณะ พ้นจากโอฆะทั้งสามมีกาโมฆะ เป็นต้น
|