โดยปกติ พระตถาคตเจ้าเสด็จสู่ ณ ที่ใดก็ย่อมเกิดความสุขสวัสดี ณ ที่นั้นเพราะอานุภาคแห่งคำสั่งสอนที่ตรัสประทานด้วยพระมหากรุณา อุปาเสมือนมหาเมฆหลั่งโปรยสายฝนอันเย็นฉ่ำลงมายังโลก ยังความอ้าวระอุของไอแดด ไอดินให้ระงับ ชุบชีพพฤกษชาติที่เหี่ยวเฉา ให้ฟื้นสู่ความตระการด้วยดอกช่อและก้านใบฉะนั้น แต่สำหรับกบิลพัสดุ์ดินแดนที่ทรงถือพระกำเนิด และเจริญวัยมามวลพระญาติและราษฎร์ประชาหาได้ยินดีพุทธวิสัย ธรรมมานุภาพไม่
พระองค์ทรงอุบัติมา เป๊นความหวังของคนทั้งแว่นแคว้น ทุกคนพากันรอคอยอย่างกระหาย ใคร่จะชมพระบารมีจักรพรรดิราช แต่แล้วท่ามกลางความไม่นึกฝันทรงอยู่ในพระเยาวกาลเกศายังดำสนิทไม่มีร่องรอยแห่งสังขาร เท่าที่สมบัติประจำวิสัยบุรุษจะพึงมีพระชายาสิริโฉมป็นเลิศ ให้กำเนิดโอรสอันเป็นสิริแห่งวงศ์ตระกูลอีกเล่า (ยังมีต่อ)
----------------
----------------คนที่มีจิตมากอยู่ด้วยมานะทิฐิก็ฉันนั้น
ทรงคงพิจารณาดังนี้ จึงเห็นว่ากิจอันควรก่อนอื่น คือทำรายความกระด้างล้างความถือดีเสียด้วยอำนาจอิทธิปาฏิหาริย์ ทรงกำเนิดจิตเจริญฌาน มีอภิญญาเป็นภาคพื้นลอยขึ้นสู่ห้วงนภากาศ เสด็จลิลาสจงกรมไปมาน่าอัศจรรย์ เพียงเท่านี้เองความคิดข้องใจที่ว่าใครอาบน้ำร้อนก่อนหลัง ก็เสื่อมสูญอันตรธาน พากันก้มเศียรคารวะ แสดงถึงยอมรับนับถืออย่างเต็มใจ เมื่อเสด็จลงประทับ ณ พุทธอาสน์เบื้องนั้น ฝนอันมหัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนก็ตกลง ความมหัศจรรย์มีลักษณะดังนี้
๑. สีเม็ดน้ำฝน แดงเรื่อ เหมือนแก้วทับทิม ๒. ผู้ใดปรารถนาให้เปียกก็เปียก ผู้ไม่ปรารถนาแม้ละอองก็ไม่สัมผัสผิวกาย ๓. ไม่เลอะเทอะขังนอง ก่อให้เกิดโคลนตมอันปฏิกูล พอฝนหาย แผ่นดินก็สะอาด ๔. ตกลงเฉพาะสมาคมพระญาติ ไม่มีผู้อื่นอยู่ร่วมประชุมด้วย
คติในความมหัศจรรย์ โดยอุปมา เท่าที่คิดเห็นและประกาศแล้ว ในที่ทั่วไปดังนี้
ข้อที่ ๑. สีของน้ำฝน ได้แก่สีโลหิตแห่งความชื่นชมยินดี วันนี้เป็นวันที่ศากยราชทั้งปวงรอคอย ก็สมหวังแล้ว เมื่อพระองค์เสด็จคืนกลับมา ให้เขาได้เห็นพระรูปพระโฉมจึงพอกันชื่นบานผิวพรรณก็ซ่านด้วยสายเลือดอย่างที่เรียกราศีของคนมีบุญว่า ผิวพรรณอมเลือดอมฝาด
ข้อที่ ๒. ความชุ่มชื่นของสายฝน ก็ได้แก่พระธรรมเทศนาที่พระพุทธองค์ทรงประกาศออกไป มีเหตุมีผลสมบูรณ์ด้วยหลักการ ถ้าผู้ใดตั้งใจฟังด้วยความเคารพธรรม ก็เข้าสัมผัสจิตสำนึก และสามารถจะปรับปรุงจิตของตนตามหลักแห่งเหตุผลนั้น จนกระทั่งจิตตั้งอยู่ในภาวะเยือกเย็นเหมือนผิวกายต้องละอองฝนแต่สำหรับบุคคลที่ฟังสักแต่ว่าฟังธรรมนั้นก็จะไม่กระทบใจ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอุปมาด้วยฝนไม่เปียก
ข้อที่ ๓. ปกติธรรมะเป็นของสะอาดไม่ก่อทุกข์โทษอันพึ่งรังเกียจ แก่ใครๆ ไม่ว่ากาลไหนๆ
ข้อที่ ๔. พระพุทธจริยาครั้งนี้ ทรงมุ่งบำเพ็ญเฉพาะหมู่พระญาติ ศากยะล้วนๆ
เมื่อเหล่าศากยะ ผู้ได้รับความเย็นกายด้วยสายฝนเย็นใจด้วยกระแสธรรมและกราบบังคมลา พากันกันคืนสู่พระราชนิเวศน์แล้ว แต่นั้นก็ย่างเข้าสู่เขตสนธยากาลแสงแดดอ่อนสาดฝ่าละอองฝน ที่เหลือตกค้างมาแต่ตอนบ่าย ทำให้เกิดบรรยากาศราวกับจะกลายเป็นยามอรุณ ดอกไม้ในสวนเริ่มเผยอกลีบอย่างอิดเอื้อนเหมือนลงเผลอ แม้นกบินกลับรวงรังอย่างลังเล
ภิกษุทั้งหลาย กำลังชุมนุมสนทนากัน ถึงฝนอันมหัศจรรย์และสายัณห์อันพระพุทธองค์ ทรงเสด็จสู่วงสนทนาของภิกษุพุทธสาวก เมื่อทรงทราบถึงมูลเหตุอุเทศแห่งการสนทนานั้น ก็ทรงตรัสแย้มว่า ฝนนี้เรียกว่าฝนโบกขรพรรษ ที่ตกลงมาในปัจจุบันนี้ หาชวนอัศจรรย์ไม่ แม้ในอดีตกาล เมื่อทรงอุบัติเกิดเป็นพระโพธิสัตว์นามว่า เวสสันดร ก็ทรงบำเพ็ญบารมีธรรม จนเป็นเหตุให้ฝนโบกขรพรรษได้ตกลงมานั้นสิ อัศจรรย์ยิ่งกว่า ภิกษุทั้งหลายต่างพากันกราบทูลพรธมหากรุณาให้นำเรื่องครั้งนั้นมาแสดง ซึ่งพระพุทธองค์เจ้าก็ทรงโปรด เรื่องราวพิสดาร แบ่งเป็นสามสิบกัณฑ์ พันคาถา
( จากหนังสือเรื่อง เพลงศาสนา ของหลวงตา(แพรเยื่อไม้) )
|