ยุคอารยธรรมเบื้องต้น
ภายหลังที่โฮโมซาเปียนหรือมนุษย์แบบปัจจุบันเกิดขึ้นมาบนโลกแล้วนั้น
มนุษย์ก็ได้เดินทางไปอยู่ในดินแดนต่างๆทุกทวีป รวมทั้งออสเตรเลียด้วย(เป็นชาวพื้นเมืองเดิมของออสเตรเลีย)
แลฃะทวีปอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ รวมทั้งบริเวณหมู่เกาะใกล้เคียงในคาริบเบียน
(เรียกว่าชาวอินเดียนแดง)
รวมทั้งหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกมนุษย์ใช้เวลาประมาณ
20,000 ปีแห่งการร่อนเร่พเนจร
สังคมมนุษย์ยังไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง
แต่ดำเนินชีวิตอยู่ได้ด้วยการอาศัยอยู่ภายในถ้ำ รู้จักสร้างอาวุธที่ทำด้วยหินและกระดูกสัตว์
สำหรับล่าสัตว์ใหญ่เป็นอาหาร รู้จักการใช้ไฟและสวมเสื้อผ้า
รู้จักล่าปลาด้วยฉมวก รู้จักสร้างคันธนูและลูกธนูเป็นอาวุธ
นอกเหนือจากอาวุธที่ทำด้วยหินยังมีการทำด้วยโลหะ รู้จักการใช้ชีวิตด้วยการหาผลหมากรากไม้และสัตว์เป็นอาหารเรื่อยไปเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก
แต่มนุษย์เริ่มมองปัญหาของชีวิตของชีวิตและสภาพแวดล้อมมีความคิดทางด้านนามธรรมอย่างกว้างขวางมากขึ้น
รู้จักใช้ภาษาพูดเป็นสื่อกลาง มีสติปัญยาสูงกว่าโฮมินิดทุกพันธุ์ที่โลกเคยมีมาก่อนรวมทั้งโฮโม
อีเลคตัสภายหลังที่มนุษย์ใช้เวลาประมาณ
20,000 ปีในการเดินทางขยายเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลกแล้ว หลังจากนั้นก็ยังใช้ชีวิตร่อนเร่ต่อไปอีกประมาณ
20,000 ปี จนถึงประมาณ
10,000 ปีก่อนค.ศ. มนุษย์จึงเริ่มต้นตั้งฐาน การเริ่มต้นตั้งถิ่นฐานคือจุดเริ่มต้นอารยธรรมของมนุษย์ของมนุษย์ตลอดเวลา
40,000ปีก่อนค.ศ.
จึงจัดเป็นช่วงเวลาที่สังคมมนุษย์ยังอยู่ในระดับอนารยะโดยทั่วไป
อย่างไรก็ดีก่อนตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งสร้างบ้านเรือนขึ้นมาก่อนถึงปี
10,000 ปีก่อนค.ศ. มนุษย์ในช่วงเวลา 50,000-10,000 ปีก่อนค.ศ.ได้ทิ้งร่องรอยว่าเริ่มต้นรักงานทางด้านศิลป์
เช่น การเขียนภาพฝาผนังและการล่าสัตว์ไว้ตามผนังถ้ำที่ตนอาศัยอยู่
ในขณะเดียวกันมนุษย์ในช่วงแรกดังกล่าวเริ่มต้นมีความเชื่อทางศาสนาโดยเฉพาะเชื่อในเรื่องวิญญาณ
ไสยศาสตร์และเวทมนตร์คาถา
ซึ่งทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็น ในบริเวณที่อยู่อาศัย ประมาณ
10,000 ปีมาแล้วชาวสุเมเรียในเมโสโปเตเมียดินแดนระหว่างลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรติส
ในตะวันออกกลาง เป็นประชาชนกลุ่มแรกที่เริ่มต้นสร้างสังคมเกษตรกรรมขึ้นมาในบริเวณดังกล่าวเป็นการเริ่มต้นตัวอย่างให้แก่มนุษย์รอบๆบริเวณนั้นมองและพิสูจน์ความจริงว่า
การตั้งถิ่นฐานโดยการทำเกษตรกรรมนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่มนุษย์สังคมของชาวสุเมเรียรุ่งเรืองมาก
ชาวสุเมเรียสร้างบ้านเรือนใหญ่โต เป็นสังคมที่ก้าวหน้ามีการเป็นระเบียบมีทหารป้องกันบ้านเมือง
มีเกษตรกรรมทำการเพาะปลูก เมื่ออารยธรรมของชาวสุเมเรียก้าวหน้าขึ้นความจำเป็นต้องใช้ตัวอักษรเพื่อการเขียนตัวหนังสือก็ได้มีการเกิดขึ้น
ในที่สุดชาวสุเมเรียก็ประดิษฐ์ตัวอักษรเขียนหนังสือเพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆของสังคมในขณะนั้นไว้สำหรับสร้างอารยธรรมของตนและกลุ่มให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป
ความสำเร็จของชาวสุเมเรียเป็นที่น่าอิจฉาริษยาของชาวเซไมท์ซึ่งในขณะนั้นยังดำรงชีวิตด้วยการร่อนเร่พเนจร
เลี้ยงสัตว์และล่าสัตว์ตามประสาอย่างที่บรรพบุรุษเคยปฏิบัติและก็ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านานแล้ว
และยังไม่มีการตั้งถิ่นฐานเป็นกลุ่มเป็นสังคมเกษตรกรรมอย่างเช่นกับชาวสุเมเรีย
ด้วยเหตุนี้เองทำให้พวกเซไมท์ยกกำลังเข้าทำลายเมืองที่ชาวสุเมเรียได่สร้างขึ้นในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ยังได้เอาทรัพย์สินเงินทองของชาวสุเมเรียที่สะสมไว้ไปแล้ว
ชาวเซไมท์ยังได้รับเอาอารยธรรมของชาวสุเมเรียไปใช้ในการจัดตั้งบ้านเมืองและทำการเกษตรกรรมขึ้นมา
และยังเอาตัวอักษรของชาวสุเมเรียมาพัฒนาต่อไป นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงสังคมครั้งสำคัญที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของมนุษย์
เพราะนับตั้งแต่นั้นมามนุษย์ในบริเวณตะวันออกกลางไปจนถึงในอียิปต์และแถบบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน
เริ่มต้นละชีวิตร่อนเร่พเนจรมาป็นเริ่มมีการสร้างที่อยู่หรือถิ่นฐานเป็นเป็นหลักแหล่งมากขึ้น
มีการทำเกษตรกรรมเป็นฐานเศรษฐกิจ สร้างระบบการเมืองการปกครองที่มีระเบียบจนในที่สุดก็ได้มีการผลิตตัวอักษรซึ่งได้มาจากการพัฒนามาจากของชาวสุเมเรียและชาวเซไมท์
จึงกล่าวได้ว่าการเริ่มต้นการสร้างสังคมเกษตรกรรมคือจุดเริ่มต้นอารยธรรม
ซึ่งเริ่มต้นในบริเวณตะวันออกกลางและเอเชียอาคเนย์ เมื่อประมาณ
10,000 ปีมาแล้วโดยชาวสุเมเรียอาจจะเป็นผู้เริ่มต้นก่อน
หลังจากนั้นสังคมเกษตรกรรมก็แพร่หลายต่อมาเรื่อยๆจนสามารถครอบคลุมบริเวณทั่วโลกได้ในที่สุดการแบ่งยุคประวัติศาสตร์โดยยึดเอาเรื่องราวของมนุษย์จริงๆเป็นหลักฐานดังได้กล่าวไว้แล้วจึงควรเริ่มต้นนับตั้งแต่มนุษย์แบบปัจจุบัน
ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์เพราะเป็นเพียงสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์เท่านั้นเองและได้สูญพันธ์ไปหมดแล้วเหมือนกับการสุญพันธ์ของสัตว์พันธุ์ต่างๆ
|