หลังจากฝนตกหนักใหม่ ๆ
ความชื้นของอากาศอยู่ในสภาพเกือบอิ่มตัวอุณหภูมิลดลง
หากไม่มีแสงสว่างด้วยแล้ว
พืชไม่สามารถคายน้ำได้อย่างปกติ
แต่ภายในพืชมีแรงดันรากที่สามารถดันน้ำจากรากไปยังส่วนอื่น
ๆ ของพืชได้เสมอ
แต่ใบไม่สามารถปล่อยน้ำออกทางปากใบได้ด้วยการคายน้ำ
น้ำจึงถูกปล่อยออกทางรูเล็ก ๆ
ที่ผิวใบที่เรียกว่า ไฮดาโทด
(Hydathode)
ซึ่งอยู่บริเวณปลายสุดของเส้นใบ
การเสียน้ำในรูปของหยดน้ำเช่นนี้
เรียกว่า กัตเตชัน (Guttation)
การเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดไม่บ่อยนัก
เนื่องจากที่ผิวใบมีสารคิวทินเคลือบ
ทำให้การระเหยของน้ำออกทางผิวใบเกิดได้น้อยแต่ก็ยังมีการเสียน้ำออกทาง
เลนทิเซล (Lenticel)
ซึ่งเป็นรอยแตกที่ผิวลำต้นซึ่งพบในพืชบางชนิดเท่านั้น
การสูญเสียน้ำทางเลนทิเซลมีเพียง 10 %
เท่านั้น ส่วนใหญ่
น้ำในพืชจะระเหยออกทางปากใบ
โดยวิธีการคายน้ำถึง 80-90 %
โดยเฉพาะพบมากที่สุดที่ผิวใบด้านล่าง
พืชจะคายน้ำออกทางปากใบมากที่สุด
เนื่องจากมีทางออกสะดวกพืชต่างชนิดกันมีความสามารถในการคายน้ำได้ไม่เท่ากันถึงแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน
เนื่องจากมีความแตกต่างของโครงสร้างและส่วนประกอบของพืช
เช่น ลักษณะและขนาดของใบ
สารเคลือบผิวใบ
การปิดเปิดของปากใบ
การปิดเปิดของปากใบขึ้นกับเซลล์คุมที่อยู่ข้าง
ๆ ปากใบ
ซึ่งมีผนังด้านที่ติดกับปากใบหนากว่าด้านอื่น
ๆ เมื่อมีแสงสว่าง
โพแทสเซียมไอออนในเซลล์คุมเพิ่มขึ้น
จึงมีความเข้มข้นของสารละลายมากขึ้น
น้ำจากเซลล์ที่อยู่ติด ๆ
กันจึงออสโมซิส เข้าสู่เซลล์คุม
ทำให้เซลล์คุมเต่งมากขึ้น พร้อม ๆ
กับมีแรงดันเต่งไปดันผนังเซลล์ด้านบางให้โป่งออกไปพร้อม
ๆ กับดึงผนังเซลล์ด้านหนาให้โค้งตาม
เกิดช่องว่างทำให้ปากใบเปิดยิ่งเซลล์คุมมีแรงดันเต่งมาก
ปากใบยิ่งเปิดกว้าง
การปิดเปิดของปากใบขึ้นอยู่กับแสงสว่างและปัจจัยอื่น
ๆ อีกหลายประการ คือ
1. แสงสว่าง
เนื่องจากเซลล์คุมมี คลอโรพลาสต์
ทำให้เกิดการสังเคราะห์ด้วยแสง
ปริมาณน้ำตาลในเซลล์คุมเพิ่มความเข้มข้นของไซโทพลาซึมเพิ่ม
น้ำจากเซลล์ข้างเคียงจึงเกิดการออสโมซิสเข้ามา
ทำให้เซลล์คุมเต่ง ปากใบจึงเปิด
สำหรับเวลากลางคืนหรือเวลาไม่มีแสงไม่มีการสังเคราะห์ด้วยแสง
น้ำตาลในเซลล์คุมถูกส่งออกไปนอกเซลล์คุมแล้ว
หรือถ้ามีอยู่ในเซลล์คุมบางส่วนจะเปลี่ยนเป็นแป้งซึ่งไม่ละลายน้ำความเข้มข้นของเซลล์คุมลดลง
น้ำจึงออสโมซิสออกสู่เซลล์ข้างเคียง
แรงดันเต่งของเซลล์คุมลดลง
ปากใบจึงปิด
2. ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์
พบว่าปากใบจะปิดเมื่อปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น
เช่น
ในอากาศปกติมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์
300 ส่วนในล้านส่วน ปากใบจะเปิด
แต่ถ้าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มเป็น1000
ส่วนในล้านส่วน ปากใบจะปิด
อาจอธิบายการปิดปากใบตอนกลางคืนได้ว่าเนื่องจากปริมาณการสะสมคาร์บอนไดออกไซด์
ที่เกิดจากการหายใจของเซลล์ในใบมาก
3. อุณหภูมิที่เหมาะสม
อุณหภูมิไม่ต่ำและไม่สูงจนเกินไป(25-
30 องศาเซลเซียส) ทำให้ปากใบเปิด
ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านี้ปากใบจะปิดแคบลง
และ
ถ้าอุณหภูมิต่ำมาก ๆ ปากใบก็จะปิดด้วย
4. ปริมาณน้ำภายในใบ
หากใบคายน้ำออกมาก เช่น
ในเวลาบ่ายทำให้เซลล์ในใบขาดน้ำ
แรงดันเต่งในเซลล์ของใบลดลงทำให้ปากใบปิด
5. ฮอร์โมนบางชนิด
ฮอร์โมนบางชนิดของพืชช่วยให้ปากใบปิดได้เช่น
กรดแอบไซซิก (Abscisic acid)
ซึ่งพบว่ามีมากในใบแก่
หรือในใบที่ขาดแคลนน้ำจึงทำให้การคายน้ำลดลงพืชทะเลทรายประเภทกระบองเพชร
ปากใบจะอยู่บริเวณลำต้น
พืชบกหลายชนิดมีเลนทิเซล (Lenticel)
ซึ่งมีลักษณะคล้ายรอยแตกของลำต้นมีกระจายอยู่ทั่วไปอากาศจะผ่านเข้าออกทางเลนทิเซลได้เช่นเดียวกับไอน้ำ |