ไขมันและน้ำมัน
คุณค่าทางโภชนาการ
น้ำมันเป็นแหล่งพลังงานที่มีสูงมาก โดยไขมัน 1 กรัม จะให้พลังงานถึง
9 แคลอรี มากกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตกว่า 2 เท่า ในไขมันมีกรดที่จำเป็นต่อร่างกาย
ได้แก่ กรดไลโนเลอิค ไลโอเลนิค และกรดอะแรคิโดนิค แม้ว่าร่างกายจะสร้างไขมันทั้ง
3 ชนิดนี้ได้ แต่ก็ไม่สามารถหากรดทั้ง 3 ได้จากอาหารชนิดอื่น ดังนั้นผู้ที่ลดความอ้วน
จึงไม่ควรงดไขมันด้วย
ไขมันช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน
ซึ่งได้แก่ วิตามิน เอ ดี อี เค การย่อยไขมันจะย่อบยได้ช้ากว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตมาก
ไขมันจะอยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้นานกว่าอาหารอื่น ผู้ทานไขมันจึงรู้สึกอิ่มนาน
การเหม็นหืนของน้ำมัน
หมายถึง การที่ไขมันมีกลิ่นปกติขณะเก็บ
การที่ไขมันจะเหม็นช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับการเก็บรักษา เราควรเก็บไขมันและน้ำมันไว้ใรที่ที่ปิดมิดชิด
การเหม็นหืนของไขมัน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางวเคมี 2 แบบ ดังนี้
การเหม็นหืนเนื่องจากออกซิเจน
ในระหว่างที่เก็บ กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ
จะได้สารเพอร์ออกไซด์ซึ่งมีกลิ่นหืน กรดไขมันมีแขนคู่หลายอันเหม็นหืนเร็วกว่ากรดไขมันที่มีแขนคู่เพียงอันเดียว
ในช่วงแรก ปฏิกิริยาการเหม็นหืนจะเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ในช่วงหลังจะเร็วขึ้น
การเติมไฮโดรเจนจะช่วยให้ไขมันเหม็นหืนช้าลงบ้าง น้ำมันพืชเหม็นหืนช้ากว่าน้ำมันสัตว์
ทั้งที่น้ำมันพืชมีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวมากกว่า แต่น้ำมันพืชมีปริมาณวิตามินอีที่เป็นสารป้องกันออกซิเจนอยู่แล้วตามธรรมชาติ
การเหม็นหืนของน้ำมันป้องกันได้โดยเก็บไขมันในภาชนะที่ทึบแสง อากาศเข้าไม่ได้
และต้องเก็บไว้ในที่เย็น
การเหม็นหืนเนื่องจากน้ำ
วิธีนี้เกิดขึ้นน้อยกว่าการเติมออกซิเจน ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์
นม เมล็ดพืชต่างๆ และอาหารที่แช่เย็นแข็ง การเหม็นหืนในที่นี้เกิดจากโมเลกุลของไขมันไตรกลีเซอไรด์ถูกย่อยด้วยน้ำย่อยไลเปสเมื่อมีน้ำอยู่ด้วย
ได้ไขมันโมเลกุลส้นๆที่มีกลิ่นหืน คือ กรดบิวไทริค ไลเปสอยู่ในอาหารที่มีไขมัน
ถูกทำลายได้ด้วยความร้อน การเหม็นหืนจึงเกิดขึ้นเฉพาะในอาหารที่ผ่านความร้อนไม่สูงมาก
หรือความร้อนที่ไม่มากพอที่จะทำลายเอนไซม์ การเหม็นหืนจึงป้องกันโดยใช้ความร้อนทำลายเอนไซม์
และระวังอย่าให้มีน้ำปนในไขมัน
กรรมวิธีผลิตไขมันชนิดต่างๆ
การเจียว
คือการให้ความร้อนจนน้ำมันแตกออกจากเซลล์ การสกัดน้ำมันออกจากสัตว์มักใช้วิธีนี้
วิธีที่จะสามารถแยกให้ไขมันออกมาเร็วขึ้นคือ นำเนื้อของสัตว์ในส่วนที่มีไขมันมากมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
และบางๆ ความร้อนสูงจากการหุงต้ม จะทำให้เซลล์ไขมันแตก และมีน้ำมันไหลออกมา
ซึ่งทำให้มีรสดี
การบีบน้ำมัน
เป็นการบีบน้ำมันออกจากเมล็ดพืชโดยใช้ความดันสูง วิธีทำในขั้นแรกคือ
นำเมล็ดพืชที่ต้องการสกัดไปล้างให้สะอาด ปอกเปลือกออก แล้วนำไปบด ต่อจากนั้นนำไปผ่านความร้อนเพื่อให้ไขมันบางส่วนออกจากเซลล์ได้ง่ายขึ้น
ต่อมาก็นำไปเข้าเครื่องบีบน้ำมัน ซึ่งมีความดันสูงเป็นตัวบีบบีบเซลล์ให้แตกจนมีน้ำมันไหลออกมา
เมื่อน้ำมันหมดจึงแยกส่วนที่เป็นกากออก
การใช้ตัวทำละลาย
เป็นการสกัดน้ำมันออกจากพืชเช่นเดียวกัน การทำน้ำมันถั่วเหลืองมักใช้วิธีนี้
มีวิธีการในการสกัดคือ ทำให้เมล็ดพืชเป็นแผ่นบางๆ แล้วนำไปแช่ในตัวทำละลาย
ที่นิยมใช้คือ อีเทอร์ เบนซิน ไฮโดรคาร์บอนที่มีคลอรีนเป็นส่วนประกอบ
เฮกเซน และคาร์บอนไดซัลไฟด์ เมื่อละลายไขมันออกมาแล้ว ก็จะแยกตัวทำละลายออกจากน้ำมันโดยการระเหย
น้ำมันที่ใช้ในการประกอบอาหาร
น้ำมันหมู
คนไทยในสมัยก่อนนิยมใช้น้ำมันหมู บางคนทำน้ำมันหมูเองโดยการนำมันหมูมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำไปเจียว
คุณภาพของหมูขึ้นอยู่กับตำแหน่งของมันหมู น้ำมันที่เจียวจากมันเปลวที่อยู่รอบๆไต
มีคุณภาพดีกว่าน้ำมันที่เจียวจากมันหมูแข็ง
ไขวัว
ได้จากการเจียวไขมันวัวที่มีอุณหภูมิต่ำ (32องศสเซลเซียส) เป็นเวลาหลายวันจนน้ำมันบางส่วนแข็งตัว
ส่วนที่แข็งตัวเป็นไขมันชื่อ โอลิโอสเตียริน ส่วนที่ไม่แข็งตัวเป็นน้ำมันโอลีโอ
ใช้วิธีกรองแยกให้ออกจากกันได้ แต่ก่อนใช้น้ำมันโอลีโอทำเนยเทียม จึงเรียกชื่อเนยเทียมว่า
โลีโอมาร์การีน ปัจจุบันนอกจากจะทำเนยเทียมแล้ว ยังสามรถนำไปทำเป็นวัตถุดิบในโรงงานขนมปัง
และขนมหวานประเภทลูกกวาด
เนย
ได้จากการแยกมันเนยออกจากนม อาจทำจากนมวัว หรือนมจากสัตว์ชนิดอื่นๆได้
วิธีการแยกคือ คนแรงๆให้ไขมันที่กระจายอยู่ในนมมารวมตัวกันแยกออกจากส่วนที่เป็นน้ำได้
ส่วนวิธีที่ผลิตเนยในโรงงานอุตสาหกรรมคือ นำครีมเฉพาะที่มีคุณภาพดีมาลดกรดด้วยการเติมโซเดียมไบคาร์บอเนต
แมกนีเซียมออกไซด์ หรือแคลเซียมคาร์บอเนต ใช้ขบวนการพาสเจอร์ไรด์ในการฆ่าจุลินทรีย์ที่ไม่ดีออก
แล้วเติมเชื้อจุลินทรีย์ที่เหมาะสมลงไป บ่มไว้ประมาณ 3-4 ชั่วโมง ในระยะนี้จุลินทรีย์จะเจริญเติบโต
แล้วจะผลิตกรดแลคติคทำให้มีกลิ่นและรสชาติดี ต่อมานำครีมไปปั้นจนได้เนยเหลว
แยกเนยอกจากส่วนที่เป็นน้ำ แล้วเติมเกลือลงไป 2.5-3% เพื่อช่วยทำให้สามารถเก็บเกลือได้นานขึ้น
ตีให้เข้ากัน แลเวห่อด้วยกระดาษอลูมิเนียมหรือกระดาษไข แล้วเก็บไว้ในตู้เย็น
น้ำมันพืช
ส่วนใหญ่จะผลิตจากเมล็ดพืชที่มีไขมันสูง เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด งา
รำ ฯลฯ วิธีสกัดน้ำมันพืชคือ บีบน้ำมัน แล้วใช้ตัวทำละลายสกัด หลังจากนั้นก็นำสารไปกำจัดกลิ่น
ฟอกสี เพื่อให้ได้น้ำมันที่บริสุทธิ์
น้ำมันสลัด
คือน้ำมันพืชที่ไม่แข็งตัวในตู้เย็น จึงเหมาะที่จะนำมาทำเป็นน้ำสลัด
น้ำมันสลัดส่วนใหญ่ต้องผ่านขบวนการแช่เย็นแล้ว shortening คือน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนจนเปลี่ยนจากสภาพของเหลวกลายเป็นของแข็งที่อุณหภูมิธรรมดา
บางชนิดทำจากน้ำมันสัตว์หรือน้มันพืชแต่เพียงอย่างเดียว บางชนิดก็ใช้ปนกัน
เมื่อผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนแล้ว ต้องกำจัดกลิ่นเช่นเดียวกันกับน้ำมันพืช
แล้วต้องเติมโมโนกลีเซอไรด์ และไดกลีเซอไรด์ ลงไปเพื่อให้เป็นตัวทำให้สารกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
ต่อจากนั้นก็ทำให้แข็ง ตีให้ได้มีเนื้อเข้มข้นตามที่ต้องการ shortening
จัดอยู่ในไขมันประเภท soft fat เหมือนกับน้ำมันหมูและน้ำมันเนย(มีความนุ่มและหนืดเมื่อประกอบอาหาร
ผสมกับเครื่องปรุงต่างๆง่าย)
มาร์การีน
คือเนยเทียม ใช้ไขมันพืชหรือสัตว์แทนมันเนย เนยเทียมมีการผลิตขึ้นครั้งแรกเมื่อปี
ค.ศ.1870 เมื่อนโปเลียนประกาศให้รางวัลแก่ผู้ที่ทำเนยเทียมขึ้นได้
นักเคมีชาวฝรั่งเศสชื่อ Me' ge-Mouriez ทำเนยเทียมขึ้นจากไขวัว ต่อมาจึงมีผู้ทำจากน้ำมันหมู
หลังสงครามโลกครั้งที่1เริ่มใช้น้ำมันพืชแทนเนยเทียม โดยให้น้ำมันพืชผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนจนได้จุดหลอมตัว
และมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเนยมากที่สุดแล้วจึงนำมาทำให้ละลาย ใส่ลงไปในนมพร่องมันเนยที่บ่มด้วยจุลินทรีย์ที่เหมาะสม
เติมเกลือ และสารกันบูด กรรมวิธีหลังจากนั้นก็ทำเหมือนเนย
บทบาทของน้ำมันขณะประกอบอาหาร
ไขมันเป็นตัวช่วยที่เพิ่มรสชาติอาหาร
คนไทยนิยมน้ำมันหมู ชาวตะวันตกนิยมเนย
อิมัลชัน
เป็นของผสมระหว่างของเหลว2ชนิด การทำน้ำสลัดเป็นการทำให้เกิดอิมัลชันชนิดน้ำมันเป็นหยดเล็กๆอยู่ในน้ำ
ไขมันหยดใหญ่รวมตัวได้ง่ายกว่าไขมันหยดเล็ก ดังนั้นจึงต้องให้ไขมันเป็นหยดเล็กๆ
เพื่อที่จะทำให้คงสภาพอิมัลชันได้นาน ตามบ้านจะใช้วิธีขย่าเพื่อให้ไขมันแตกตัวเป็นหยดเล็กๆ
ตามโรงงานอุตสาหกรรมใช้วิธีโฮโมเจนไนส์ คือการดันให้ไขมันผ่านรูเล็กๆ
เมื่อได้ไขมันที่เป็นหยดแล้ว ต้องเติมตัวอิมัลซิฟายเออร์ลงไป สารนี้จะหุ้มรอบๆหยดของน้ำมัน
อิมัลซิฟายเออร์ที่ใช้ในการทำน้ำมันสลัดเป็นสารโมเลกุลใหญ่ ไข่แดงเป็นตัวอิมัลซิฟายเออร์ที่ดีที่สุด
การทอด
ไขมันเป็นตัวนำความร้อนที่ให้อาหารสุก ให้รสชาติดี และช่วยในการหล่อลื่นไม่ให้อาหารติดภาชนะที่ทอด
คุณสมบัติของไขมันที่สัมพันธ์กับการทอดคือ จุดสลายตัวของน้ำมัน และกลิ่นหรือรสของไขมันที่ติดไปกับอาหาร
ปัจจัยที่ทำให้อาหารอมน้ำมันขณะทอด
เวลาและอุหภูมิที่ใช้ในการทอด
การใช้อุณหภูมิต่ำทำให้ต้องใช้เวลานาน ยิ่งทอดนาน อาหารก็จะยิ่งอมน้ำมันไว้มาก
ภาชนะที่ทอดควรเป็นภาชนะที่นำความร้อนได้ดี ไม่ควรทอดอาหารทีละหลายๆชิ้น
เพราะจะทำให้อุณหภูมิของน้ำมันต่ำลง ทำให้อาหารอมน้ำมันได้มากขึ้น
พื้นผิวของอาหารที่สัมผัสกับน้ำมัน
อาหารชิ้นเล็กจะอมน้ำมันน้อยกว่าชิ้นใหญ่ อาหารที่มีพื้นผิวสัมผัสมากจะอมน้ำมันมากกว่าอาหารที่มีพื้นผิวสัมผัสเรียบ
จุดที่เป็นควันของน้ำมัน
อาหารอมน้ำมันมากเมื่อใช้น้ำมันที่มีจุดเป็นควันต่ำ
ส่วนประกอบของอาหาร
อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันมาก จะอมน้ำมันมาก

  
จำนวนผู้เข้าใช้งาน
ตั้งแต่วันที่ 07 ตุลาคม 2545
thaigoodview.com Version 17.0 บริหารและจัดการโดยทีมงานชาวมัธยมศึกษาและประถมศึกษา e-mail: webmaster@thaigoodview.com
Copyright(c) 2001 Miss Khassaraporn Monchaiphumiwat. All rights reserved.
|