|
|
|
เหตุที่เชื่อเช่นนั้นเพราะที่นี่มีลูกไฟที่เรียกว่า บั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นเช่นกัน แต่แตกต่างจากที่อื่น เพราะที่อื่นลูกไฟที่เกิดขึ้นจะเป็นสีแดงอมชมพู แต่บริเวณแก่งอาฮงนี้จะเป็น ลูกสีเขียว มีคนเคยเห็นลูกไฟที่เกิดขึ้นที่นี่เมื่อหลายปีก่อนว่า ลูกไฟโตเท่าแท้งค์น้ำ สีเขียวสว่างพุ่งขึ้นจากใต้น้ำ ทำให้บริเวณใกล้เคียงสว่างไสวราวกับว่าเป็นเวลากลางวัน ขึ้นสูงประมาณ 20 เมตร และสาเหตุที่เชื่อว่าแก่งอาฮงเป็น เมืองหลวงของเมืองบาดาล ก็เพราะว่า ตลอดแนวแม่น้ำโขงตลอดสาย ตั้งแต่ประเทศจีน ผ่านมาจนถึงจังหวัดหนองคาย แก่งอาฮง ออกสู่ทะเล แก่งอาฮงถือว่าเป็นสะดือทะเล แม่น้ำโขงที่มีความลึกในหน้าแล้ง ที่ชาวประมงใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไป มีความยาววัดได้ 99 วา ของผู้ใหญ่ เพราะตรงนั้นจะเป็นแอ่งที่มองเห็นด้วยตามนุษย์ บริเวณด้านหลังศาลาวัดอาฮง และยังมีความลึกลับกว่านั้นอีกว่า บริเวณสะดือแม่น้ำโขงดังกล่าวยังเป็นถ้ำใต้น้ำทะลุไปออกที่ ภูงู ฝั่งตรงข้ามที่ประเทศลาวอีกด้วย
สมัยก่อนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขง จะใช้การติดต่อกันในทางทำธุรกิจค้าขาย ต้องเดินทางกันทางน้ำ เพราะไม่มีรถยนต์เหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นจะต้องใช้เรือล่องผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ และหมู่บ้านก็จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะการเดินทางไปมาสะดวกสบาย เพราะฉะนั้นการเดินทางค้าขายจึงต้องมีการทำพิธีบวงสรวง เทพเจ้าทางน้ำ ที่เขาเชื่อและนับถือว่าจะให้ความปลอดภัยในการเดินทาง ในการทำพิธีบวงสรวงก็จะมีเครื่องเซ่นไหว้ประกอบไปด้วย เหล้าขาว หมากพูล ข้าวดำ ข้าวแดง ก่อนออกเรือก็จะเทเหล้าขาวลงน้ำ เพื่อเป็นการบอกกล่าวว่า การออกเรือครั้งนี้ขอให้มีความปลอดภัย ประสบความสำเร็จในการค้าขายและเดินทาง ก่อนออกเดินทางทุกครั้งชาวลุ่มแม่น้ำโขงจะต้องทำพิธีบวงสรวงให้เกิดโชคลาภทุกครั้ง และการเดินทางทางเรือจะต้องใช้เวลานานเป็นเดือน ๆ ยิ่งตอนกลับทวนน้ำแล้วยิ่งต้องใช้เวลานาน บ่อยครั้งเหมือนกันที่มีชาวลุ่มน้ำโขงต้องเสียชีวิตลงในระหว่างการเดินทางทางน้ำ แต่นั้นพวกเขาจะเชื่อว่าเป็นการทำผิดต่อเจ้าแม่สองนาง หรือเทพเจ้าทางน้ำ จึงถูกลงโทษ เหตุการณ์เหล่านี้จะถูกเรียกว่า "เงือกกิน" "เงือก" "งู" เป็นสิ่งเดียวกัน "พญานาค" ก็เป็นสิ่งเดียวกัน แต่พญานาคนั้นมีภพที่อยู่อีกมิติหนึ่ง พญานาคจึงสามารถแปลงร่างได้หลายชนิด และแปลงกายเป็นมนุษย์ หรืออะไรก็ได้ สุดแท้แต่จะแปลง เพียงแค่คิดก็แปลงร่างแล้ว ถึงแม้จะแปลงเป็นมนุษย์ได้ แต่การอยู่ก็มีภูมิ หรือภพอยู่ต่างมนุษย์ จึงมีปรากฏการณ์ให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ว่ามีคนเห็นงูใหญ่ หรือเห็นคนเดินลงไปในน้ำแล้วหายไปต่อหน้าต่อตา บางครั้งถึงกับมีการแปลงร่างเป็นหนุ่มมาเกี้ยวสาว จนกระทั่งมีการติดพันเกิดความรักระหว่างพญานาคกับมนุษย์ ก็มีอยู่บ่อยครั้ง เรื่องนี้สามารถสอบถามชาวบ้านท่าม่วง ตาลชุมได้ ขึ้นต่อกิ่ง อ.รัตนวาปี จ. หนองคา ย เพราะสมัยก่อนสาว ๆ บ้านท่าม่วง และบ้านตาลชุม จะมีพญานาคแปลงกายเป็นหนุ่ม ๆ ขึ้นมาเกี้ยวพาราสีอยู่เป็นประจำ ถึงขนาดได้ชวนสาว ๆ ลงไปชมเมืองบาดาล แต่หลังจากนั้นอีก 7 วัน สาว ๆ ที่ลงไปก็เกิดอาการเจ็บป่วยและเสียชีวิตไปในที่สุดก่อนเวลาอันสมควร คือหลังจากขึ้นมาได้ 7 วัน ก็เสียชีวิต
ในแต่ละปีของวันออกพรรษา อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย จะเป็นแหล่งนัดพบของบรรดาผู้ที่ต้องการพิสูจน์ความจริงของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ได้ยินแต่คนอื่นพูดให้ฟังว่า ที่เขต อ.โพนพิสัย นั้นมีลูกไฟที่พุ่งขึ้นมาใต้แม่น้ำโขง เป็นลุกไฟสีแดงอมชมพู ไม่มีเสียง ไม่มีแสง และไม่มีควัน ไม่มีโค้งตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่วๆ ไป และลูกไฟที่ว่านี้จะไม่เป็นที่กำหนดว่าจะเกิดขึ้นบริเวณใด จำนวนกี่ลูก และจะขึ้นสูงขนาดไหน ไม่มีกำหนด แต่จะเฉลี่ยแล้วจะขึ้นไม่แน่นอน จุดละ 3-20 ลูก ขึ้นสูงกว่า 100 เมตร ตามจุดต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ลูกไฟนี้ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย ตั้งแต่สมัยผู้เฒ่าผู้แก่ เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค" เพราะเป็นที่เชื่อว่าจะเป็นบั้งไฟที่พญานาคจุดขึ้นมา เพื่อเป็นพุทธบูชาต่อพระพุทธเจ้า ที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่ไปโปรดพระมารดา เป็นเวลา 3 เดือน จึงมีทั้งเมืองมนุษย์ สวรรค์ และเมืองบาดาล ที่ต่างก็สาธุการจัดงานสมโภช ที่ประเพณีไทยทำมาก็คือ การตักบาตรเทโวในวันออกพรรษา หลังจากเหตุการณ์บั้งไฟพญานาคขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ผ่านไปแล้ว ก็เหลือแต่ความทรงจำ และความประทับใจสำหรับผู้ที่มาพิสูจน์ความจริงว่า ลูกไฟนั้นคืออะไร หลายคนก็ต้องนำกลับไปคิด ไปวิเคราะห์ เนื่องจากสิ่งที่เห็นมากับตานั้นเป็นอะไรกันแน่ พอผ่านไปได้อีก 7 วัน หลังออกพรรษา ชาวโพนพิสัยก็จะจัดงานแข่งเรือยาวประจำปี เหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้ 2536 มีสิ่งที่ประหลาดเกิดขึ้นบนหน้ารถยนต์ของสองสามีภรรยา ที่นำผลไม้ไปขายในวันแข่งเรือ โดยนำรถยนต์โตโยต้า สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน ป.8380 อุดรธานี จอดไว้บริเวณหน้าวัดไทย เพื่อขายส้มในงาน สองสามีภรรยา ชื่อ นายลี และนางอารีย์ ไม่ทราบนามสกุล เป็นคนจังหวัดอุดรธานี พอตกกลางคืน หลังจากขายส้มแล้วก็นอนพักเอาแรงเพื่อจะได้ขายในวันต่อมา พอตกกลางคืน นางอารีย์ก็ฝันว่า มีชายสองคน นุ่งห่มผ้าขาว โพกหัวด้วยผ้าขาว ผูกด้านหน้าเป็นกระจุกเหมือนหัวพญานาค ขึ้นมาขอกินส้ม แต่นางไม่ให้กิน พอคืนที่สองมาก็ฝันเห็นเรือยาวลำหนึ่งจอดขวางอยู่กลางลานวัด (จอดบนบก) และได้ยินเสียงชายคนเดิมมาขอกินส้มอีก แต่นางก็ไม่พูดอะไร พอตื่นเช้ามาก็เล่าเรื่องฝันให้ชาวบ้านฟัง คนแก่ก็เลยบอกให้สองสามีภรรยา จัดขันดอกไม้ ธูปเทียน เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง พอคืนต่อมาอีก ก็ฝันเห็นชายดังกล่าวมาขอส้มอีก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรแล้ว เพราะฝันเห็นมา 3 วัน หลังจากตื่นขึ้นตอนเช้าก็จะมาขายส้มต่อ ก่อนนอนสองสามีภรรยา ได้นำผ้าคลุมรถเอาไว้ก่อนนอน ก่อนขายส้มตอนเช้าจึงได้เปิดผ้าคลุมรถออก นำส้มมาวางขาย แต่เช้าของคืนที่ 3 ก็ต้องตกใจ เมื่อเปิดผ้าคลุมรถยนต์เพราะในความรู้สึกบอกว่ามีอะไรบางอย่างขดอยู่หน้ารถในความรู้สึกว่ามีจริง จนสุดท้ายจึงตัดสินใจเดินมาเปิดผ้าคลุมรถยนต์ออก แต่ก็ต้องแปลกใจอีกครั้งที่เห็น รอยประหลาดเหมือนกับรอยตะขาบขนาดใหญ่ เป็นรอยนูนและยังเปียก เป็นดินโคลนสีแดง ตรวจดูตามข้างรถยนต์ ก็ไม่มีรอยปีนขึ้น-ลง มีเฉพาะนอนขดอยู่หน้ารถมีรูปร่างเหมือนตะขาบ มีเกล็ด มีขา เป็นรอยมันใส ดู ๆ แล้วเป็นดินที่ไม่เหมือนกับดินในหนองน้ำ หรือโคลนบนบก เพราะดมดูก็ไม่มีกลิ่นเหมือนโคลนทั่ว ๆ ไป นางอารีย์ตกใจมาก เพราะกลัวว่าจะเป็นลางบอกเหตุที่ไม่ดีกับตน เมื่อชาวบ้านทราบเรื่องเข้าก็มามุงดูกันใหญ่ ด้วยความตกใจ ต่อมาจึงมีคนมาแนะนำให้ไปเข้าทรงดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้เข้าทรงก็ทราบว่า โดยการเชิญดวงวิญญาณของหลวงพ่อใหญ่ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ในอุโบสถวัดไทย และหลวงพ่อใหญ่นี้สามารถที่จะติดต่อกับเมืองพญานาค หลังจากที่เข้าทรงทราบว่า รอยดังกล่าวเป็นรอยของพญานาคจริง ที่แปลงร่างขึ้นมาปรึกษากับหลวงพ่อใหญ่ในการที่จะบำรุงรักษาวัดให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป เพราะสภาพปัจจุบันนี้ขาดการดูแล และพญานาคที่ขึ้นมานั้นก็เป็นพญานาคระดับหัวเมือง ที่มาเพื่อที่จะแสดงให้เหล่ามนุษย์รู้ว่าเมืองบาดาล และพญานาคนั้นมีจริงและบังเอิญขึ้นมาพบกับนายลี ซึ่งในชาติก่อน นายลีเป็นลูกชายของพญานาค ที่เมืองบาดาล เมื่อมาพบจึงเกิดความดีใจ พร้อมกับได้ขอกินส้ม และประกอบกับความดีใจจึงได้กระโดดขึ้นบนหน้ารถยนต์แล้วประทับรอยเอาไว้ ได้ขึ้นมาตอนเที่ยงคืน มาทั้งหมด 7 คน อีก 6 คนไม่แสดงตัวให้เห็น ส่วนสองสามีภรรยา ที่ไปขายส้ม ก็ไม่เคยไปที่ อ.โพนพิสัย มาก่อน
|
จัดทำโดยครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
โรงเรียสตรีศรีสุริโยทัย
เขตสาทร กทม.
จำนวนผู้เข้าใช้งาน
ตั้งแต่วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.
2547
thaigoodview.com Version 12.0
บริหารและจัดการโดยทีมงานชาวมัธยมศึกษา
e-mail: webmaster@thaigoodview.com
Copyright(c) 2004 Mr.Poonsak Sakkatatiyakul. All rights reserved.