1.แม่สีและความเป็นมาของแม่สี
สีในงานศิลปะที่เราใช้กันนั้น
โดยมากมักเป็นสีประเภทสำเร็จรูป กล่าวคือเมื่อเปิดขวดขึ้นมาก็สามารถนำมาใช้ได้ทันที
จนทำให้เราขาดทักษะความรู้ด้านการผสมสีให้ได้มาซึ่งสีในรูปแบบต่างๆ
นับแต่อดีตกาล มนุษย์เรารู้จักการใช้ส
ีในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆรอบๆตัว เช่นว่า
การนำเอาสีของยางไม้ไปเขียนตามผนังถ้ำทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจศิลปินสมัยก่อนๆเห็นว่าเรื่องของสีเป็นเรื่องยุ่งยาก
ทำให้การ สร้างสรรค์งานศิลปะในยุคก่อนไม่ค่อยคำนึงถึงกฏเกณฑืหรือหลักการเท่าไรนัก
ในยุคโบราณสีที่ใช้เป็นอุปกรณ์ในการเขียนภาพ
ไม่ได้ได้มาจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แต่ได้จากการนำเอาวัตถุดิบที่มีอยู่
ธรรมชาติมาทำให้เกิดสีเช่น สีแดง ได้จากยางไม้
ดินแดง หรือหินสีมาบดหรือแม้บางครั้งก็นำมาจากเลือดของสัตว์
สีขาวได้จากดินขาว สีดำได้จากการนำเอาเข่มาจากก้นภาชนะมาละลายน้ำ
สีครามได้จากดอกไม้บางชนิด สีเหลืองได้จากดินเหลืองหรือยางรงซึ่งในยุคนั้นไม่ ค่อยนิยมนำมาใช้ในการเขียนภาพแต่มักจำนำสีที่ได้มาใช้ในการย้อมผ้าแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ
วิถีทางวัฒนธรรมของแต่ละชนชาติว่า นิยมหรือมี
วิธีในการสร้างสรรค์อย่างไรเช่นชาวจีนไม่ค่อยนิยมที่จะเขียนภาพด้วยสีเท่าไรนัก
แต่กลับนิยมเขียนภาพด้วยหมึกดำส่วนชนชาติไทยเรานิยมใช้หลายสี
แต่ไม่มากนัก เพราะสีที่หาได้จะมีจำนวนจำกัดเท่าที่หาได้จากธรรมชาติ
ได้แก่สีดำ สีขาว สีแดง และเหลือง ภาพเขียนเก่าแก่ของไทยจากกรุปรางค์ทิศวัดมหาธาตุอยุธยา
กรุปรางค์ใหญ่วัดมหาธาตุ ราชบุรี(น. ณ ปากน้ำ:1)
ต่อมาในยุคหลังๆที่มี การพัฒนาด้านเทคโนโลยีมีการคิดค้นและผลิตสีต่างๆออกมามากมาย
หลายชนิด ทำให้การใช้สีนั้นกลายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยากเพราะว่าคู่สีบางคู่มีความสดและเข้มพอๆกัน
ทำให้เข้ากันไม่ได้เกิดความขัดแย้งและไม่เหมาะสม
ขาดความนุ่มนวล ดังนั้นผู้เรียนจึงควรรู้จักหลักเกณฑ์ในการ
รู้กฏเกณฑ์ในการใช้สีพอสมควร จึงจะทำให้การสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะดูสวยงามและมีคุณค่า
แม่สีในยุคปัจจุบัน
อาจจำแนกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ 1.1
แม่สีจิตวิทยา
1.2
แม่สีวิทยาศาสตร์ และ1.3.
แม่สีศิลปะ
เมื่อทำความเข้าใจในบทเรียนส่วนนี้แล้วผู้เรียนควรทดสอบด้านทฤษฎีโดยการทำแบบฝึกหัด
และฝึกทักษะด้านศิลปะด้วยแบบฝึกทักษะ
|