ในสมัยก่อนเมื่อยังไม่มีนาฬิกา ในประเทศจีนจะใช้วิธีตีกลองบอกเวลา
ต่อมาพระจักรพรรดิองค์หนึ่งคิดจะสร้างระฆังใหญ่ใช้ตีบอกเวลา
เพื่อให้เสียงไปได้ไกลยิ่งขึ้น จึงมีรับสั่งให้สร้างระฆังเหล็ก
ขนาดใหญ่ 10 ตัน เสนาบดีผู้รับคำสั่งจึงไปเกณฑ์ช่างเหล็กฝีมือดีทั่วราชอาณาจักรมาช่วยกันสร้าง
หัวหน้าชื่อเติ้ง ช่างเติ้งมีบุตรสาวสวยและฉลาด
เมื่อช่างเติ้งมาทำระฆังเหล็ก
เขาก็ยังอารมณ์ดี เมื่อกลับบ้านก็จะเล่าให้บุตรสาวและภรรยาฟังถึงความคืบหน้าของการหล่อระฆังทุกวัน พอถึงสองเดือนก็หล่อระฆังเสร็จพระจักรพรรดิมาทอดพระเนตรก็ทรงไม่พอพระทัยที่ระฆังเหล็กเป็นสีดำไม่งดงาม
และเมื่อลองให้ตีก็มีเสียงไม่ไพเราะกังวาน พระ จักรพรรดิกริ้วมากจึงสั่งเสนาบดีว่าให้ทำเป็นระฆังเงิน
และให้ทำเสร็จภานใน 2 เดือน ถ้าเสร็จไม่ ทันจะประหารชีวิตช่างทุกคน
รวมทั้งเสนาบดีด้วย ทุกๆคนรู้สึกตกใจและไม่สบายใจ
แต่ช่างเติ้งก็ ปลอบใจทุกคน และตั้งต้นหล่อระฆังด้วยเงิน
ซึ่งก็ดำเนินไปด้วยดี แต่ตอนจวนจะเสร็จ เวลาหล่อ ระฆังจะไม่รวมตัวเป็นรูปตามที่ต้องการ
ไม่ว่าจะทดลองทำอย่างไร ช่างเติ้งเริ่มรู้สึกกังวลไม่สบายใจแต่ก็พยายามปกปิดไม่ให้ภรรยาและบุตรสาวทราบ
แต่บุตรสาวเป็นคนช่างสังเกตรู้ว่าบิดากำลังมี ทุกข์
และเมื่อใกล้ถึงกำหนดสองเดือน ช่างเติ้งก็ไม่กลับบ้าน
ทำงานอยู่ที่โรงหล่อ
วันหนึ่งบุตรสาวอดรนทนไม่ได้จึงเดินทางไปที่โรงหล่อ
และถามถึงสาเหตุที่ทำงานจนไม่ยอมกลับ บ้าน
ช่างเติ้งก็ไม่ตอบแต่นายช่างที่เป็นเพื่อนจึงเล่าให้ฟังว่า
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะต้องหล่อระฆัง ให้เสร็จ
มิฉะนั้นทุกคนจะต้องถูกประหารชีวิตทั้งหมด แต่ระฆังที่หล่อก็ยังไม่ยอมหลอมตัว
บุตรสาวจึงตัดสินใจกระโดดไปที่เตาเผาเพื่อช่วยให้ระฆังหลอมตัว
ช่างเติ้งเห็นบุตรสาวกระโดดลงไปในเตา หล่อก็ตกใจวิ่งจะฉวยตัวลูกสาวไว้ก๋ได้แต่รองเท้าของนางติดมือมาข้างเดียว
แต่ทันใดนั้นก็เกิดสิ่ง มหัศจรรย์
ระฆังเงินซึ่งไม่ยอมหลอมตัวเป้นรูประฆัง ก็สามารถหลอมรวมตัวได้สนิท
เป็นอันว่า นายช่างเติ้งสามารถหล่อระฆังได้สำเร็จภานในสองเดือนโดยที่ทุกคนรอดชีวิตระฆังนี้มีเสียงกังวานดังไปถึง
40 ลี้ แต่ระฆังนี้จะทอดเสียงตอนจบว่า "เซียะ
เซียะ เซียะ" ซึ่งมีความหมายว่า"ขอรองเท้า"
ปัจจุบันระฆังเหล็กที่ใช้ไม่ได้นั้นยังคงอยู่ที่หลังหอระฆังเงินนี้ในกรุงปักกิ่ง
และใกล้ๆกับหอระฆัง บรรดานายช่างได้สร้างศาลอุทิศให้แก่บุตรสาวของนายช่างเติ้ง
และผู้คนได้นับถือบูชาเป็นเจ้าแม่ระฆังสืบมา
|