ข้อควรปฏิบัติ

 

Homemy storyอาหารที่จำเป็นอาหารที่เหมาะกับวัยอาหารผู้ป่วยคำแนะนำ

i_snoopy2@hotmail.com

 

  hand1.gif ข้อควรปฏิบัติเพื่อสุขภาพที่ดี  hand.gif

 

1.  รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ คือ

      - เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง นม อาหารหมู่นี้ให้ทั้งโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่

      - ข้าว เผือก มัน และน้ำตาล อาหารหมู่นี้ให้คาร์โบไฮเดรต

      - พืชผักต่าง ๆ อาหารประเภทนี้ให้วิตามิน และเกลือแร่หลายชนิด

      - ผลไม้ต่าง ๆ อาหารประเภทนี้ให้พลังงาน วิตามิน และเกลือแร่

      - ไขมัน เป็นแหล่งพลังงานที่ดี

      - ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว

 ปริมาณอาหารทีควรรับประทานในแต่ละวัน

      - เบ็ดเตล็ด คือ แกง ซุป ของกินเล่น และผลไม้ รวมประมาณ 10% ของแต่ละมื้อ

      - ถั่วต่าง ๆ และผลิตผลจากถั่ว เช่น เต้าหู้ ประมาณ 15% ของแต่ละมื้อ

      - ผักดิบและสุก ล้างให้สะอาดด้วยการแช่น้ำนาน ๆ ประมาณ 25% ของแต่ละมื้อ

      - อาหารประเภทแป้ง ซึ่งไม่ ได้ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพด ประมาณ 50% ของแต่ละมื้อ

 กติกาการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

      - รับประทานอย่างสายกลาง คือ ไม่มากไม่น้อย ให้พออิ่ม ไม่อดอาหารแบบผิด ๆ

      - ไม่กินจุบจิบ

      - เลือกรับประทานอาหารที่หลากหลาย

      - จำกัดไขมัน และน้ำตาลให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

      - รับประทานอย่างสมดุลระหว่างพลังงานที่กิน กับพลังงานที่ใช้

      - จำไว้ว่า "คุณกินอย่างไร ตัวคุณก็เป็นอย่างนั้น"

2.  รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

      โดยดูจากค่าดัชนีความหนาของร่างกาย ซึ่งจะบอกได้ว่าเราอ้วน หรือผอม วิธีคำนวณหากค่าดัชนีความหนาของร่างกาย

       น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม / (ความสูงเป็นเมตร)2

       ค่าปกติ คือ ผลลัพธ์จะอยู่ระหว่าง 20-25 ถ้าค่าต่ำกว่า 20 จัดว่าผอม ถ้ามากกว่า 25 ถือว่าอ้วน

3.  ออกกำลังกายให้พอเหมาะ

      ทุก ๆ คนคงไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บไข้ได้ป่วย การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในหนทางสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพ และประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายทุกส่วนให้เป็นไปด้วยดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการไหลเวียนของโลหิต การทำงานของหัวใจ และปอด

วิธีออกกำลังกายที่ดีที่สุด  การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพมีหลักการ ดังนี้

      1. จะต้องเป็นการออกกำลังกายที่ทุกส่วนของร่างกายเกิดการเคลื่อนไหว ยืดหดเพื่อให้ทุก ๆ ส่วนได้ใช้พลังงาน

      2. เริ่มออกกำลังกายในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิ่งในผู้สูงอายุ (เพราะเข่าอาจเกิดอาการอักเสบ ถ้าหักโหมตั้งแต่ต้น) แล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณทีละน้อยเพิ่มระยะเวลา และความยากให้มากข้นตามลำดับ ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 20-30 นาที/ครั้ง

      3. ออกกำลังกายโดยสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง

      4. ในขณะที่ออกกำลังกาย ห้ามคิดถึงเรื่องาน ปล่อยจิตให้ว่าง

      5. ควรออกกำลังกายทุกคน ไม่จำกัด อายุ เพศและเวลา แต่ถ้าเป็นเวลาเช้าจะดีที่สุด เพราะจิตใจผ่องใส ได้รับอากาศบริสุทธิ์ และแสงแดดยามเช้า

      6. ไม่ควรออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารน้อยกว่า 4 ชั่วโมง ดังนั้นควรออกกำลังกายก่อนรับประทานอาหาร

4.  ตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำ

      การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ตามระยะเวลาที่เหมาะสม จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคร้ายบางโรคได้ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน เป็นต้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และผู้สูงอายุควรจะเข้ารับการตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปี

 ทำไมต้องตรวจสุขภาพ

       ในคนที่อายุเลย 25 ปีขึ้นไป ขบวนการ "สร้าง" ของเซลล์อวัยวะต่าง ๆ มีปริมาณน้อยลง แต่กลับเกิด "การสูญเสีย" เซลล์จากอวัยวะ โดยเฉพาะเซลล์ของหัวใจ กล้ามเนื้อลาย เซลล์สมอง กระดูกอ่อน และไต

 การละเลยต่อการดูแลสุขภาพ ผลที่เกิดตามมาเมื่ออายุมากขึ้น คือ

       -  เป็นโรคเรื้อรัง

       -  มีอาการหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน

       - โรคที่เกิดขึ้นจะมีสาเหตุหนึ่งมาจากการเสื่อมของอวัยวะ และเกิดขึ้นรวมกันหลาย ๆ โรค

       ดังนั้นการตรวจสุขภาพจึงไม่ควรเน้นเฉพาะผู้สูงอายุที่พ้นวัยทำงานแล้วเท่านั้น ควรเริ่มตั้งแต่วัยที่พละกำลัง และสมรรถภาพของร่างกายเริ่มเสื่อมลง คือ กลุ่มอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป

5.  ทำจิตใจให้สบาย พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด

      กระแสความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมรอบด้าน โดยเฉพาะยุค IMF นี้ กระตุ้นให้คนในสังคมมีชีวิตที่เร่งรีบ ทำงานแข่งกับเวลา ต้องการให้ผลงานประสบความสำเร็จเพื่อการอยู่รอด บรรยากาศหลาย ๆ แห่งจึงเต็มไปด้วยความวิตกกังวล อารมณ์ขุ่นมัวจนกลายเป็นความเครียดในที่สุด นอกจากนี้บุคคลใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คุณเกิดความเครียดได้บ่อย แต่การจะกล่าวโทษสิ่งต่าง ๆ หรือบุคคลเหล่านั้นว่าเป็นต้นเหตุของความทุกข์ของคุณทั้งหมดคงไม่ได้ เพราะแท้จริงแล้วมันอยู่ที่ตัวเราเองว่าจะปรับตัวยอมรับปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบได้หรือไม่ ควรให้อภัย และหาวิธีแก้ไขปัญหาดีกว่ามานั่งโกรธ หรือโทษหาคนผิด เพราะ "ความโกรธจะทำลายตัวคุณเอง ไม่ใช่คนที่คุณโกรธ"

       คนที่มีความเครียดบ่อย ๆ มักเป็นคนใจร้อน ขี้หงุดหงิด โมโหง่าย มุทะลุ เอาแต่ใจตัวเอง มองโลกในแง่ลบ หรืออาจเป็นคนทะเยอทะยาน มีความใฝ่ฝันสูง เมื่อไม่สมหวัง หรือมีการสูญเสียก็เกิดความเครียด โดยเฉพาะคนเก็บกด อารมณ์อ่อนไหวง่าย ช่างวิตกกังวล กลุ่มคนเหล่านี้จะเกิดความเตรียดได้บ่อย เนื่องจากไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เข้ามากระทบได้อย่างเหมาะสม ทำให้เกิดความคับข้องใจ 

 


คุณเข้ามาเยี่ยมชมลำดับที่

ตั้งแต่วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2545
www.thaigoodview.com
บริหารและจัดการโดยทีมงานชาวมัธยมศึกษา
e-mail :
thaigoodview@hotmail.com
ICQ : 82032264

Copyright(c) 2001 Unchalee Huansiricholt. All rights reserved.