|
|
|
รากของพืชมีหน้าที่สำคัญ คือ
ยึดลำต้นให้ติดอยู่กับพื้นดิน
ทำหน้าที่ดูดซึมน้ำและแร่ธาตุ ๆ
จากดิน ส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของลำต้น
รากของพืชบางชนิดทำหน้าที่สะสมอาหาร
รากเช่นนี้จะมีลักษณะเป็นหัว เช่น
หัวไชเท้า แครอท มันเทศ มันแกว
ต้อยติ่ง กระชาย ถั่วพู
เป็นต้น รากพืชบางชนิดมีสีเขียว
จึงสังเคราะห์ด้วยแสงได้ เช่น
รากกล้วยไม้
รากบางชนิดทำหน้าที่ค้ำจุน (Prop
root) เช่นไทรย้อย เตย ลำเจียก โกงกาง
รากบางชนิดทำหน้าที่เกาะ
(Climbing root) เช่นรากพลู พลูด่าง
พริกไทย กล้วยไม้
เป็นต้น
1.
การแบ่งบริเวณของราก
เนื่องจากรากถือได้ว่าเป็นอวัยวะหนึ่งของพืชจึงประกอบด้วยเนื้อเยื่อชนิดต่าง
ๆ ดังภาพ |
|
|
โครงสร้างภายในของรากนับจากปลายสุดของรากขึ้นไป
แบ่งเป็นบริเวณต่าง ๆ
ได้ดังต่อไปนี้
1.1 บริเวณหมวกราก (Root
cap) ประกอบด้วยเซลล์
พาเรงคิมา หลายชั้น
ที่ปกคลุมเนื้อเยื่อเจริญที่ปลายรากที่อ่อนแอไว้
เซลล์ในบริเวณนี้มีอายุสั้น
เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีการฉีกขาดอยู่เสมอ
เพราะส่วนนี้จะยาวออกไปและชอนไชลึกลงไปในดินเซลล์เรียงตัวกันอย่างหลวม
ๆส่วนใหญ่รากพืชจะมีหมวกราก
ซึ่งเป็นโครงสร้างที่สำคัญในการเบิกนำส่วนอื่น
ๆ ของรากลงไปในดิน
เป็นการป้องกันส่วนอื่น ๆ
ของรากไม่ให้เป็นอันตรายในการไชลงดิน
เซลล์บริเวณหมวกรากจะหลั่งเมือกลื่น(Mucilage)
ออกมา
สำหรับให้ปลายรากแทงลงไปในดินได้ง่ายขึ้น
1.2 บริเวณเซลล์แบ่งตัว
(Region of cell division)
อยู่ถัดจากบริเวณหมวกรากขึ้นไป
ประกอบด้วยเซลล์ของเนื้อเยื่อเจริญบริเวณปลายราก
(Apical
meristem)
ที่ได้กล่าวไว้ในเรื่องเนื้อเยื่อเจริญ
เซลล์มีขนาดเล็ก
มีผนังเซลล์บาง ในแต่ละเซลล์
มี โพรโทพลาซึม
เข้มข้นและมีปริมาณมากเป็นบริเวณที่มีการแบ่งเซลล์แบบ
ไมโทซิส (Mitosis)
บางเซลล์ที่แบ่งได้จะทำหน้าที่แทนเซลล์หมวกรากที่ตายไปก่อนบางส่วนจะยืดตัวยาวขึ้นแล้วอยู่ในบริเวณเซลล์ยืดตัวที่เป็นส่วนที่อยู่สูงขึ้นไป
1.3
บริเวณเซลล์ยืดตัวตามยาว
(Region of cell elongation)
ประกอบด้วย
เซลล์ที่มีรูปร่างยาว
ซึ่งเกิดมาจากเซลล์ของเนื้อเยื่อเจริญที่แบ่งตัวแล้ว
อยู่ในบริเวณ
ที่สูงกว่าบริเวณเนื้อเยื่อเจริญ
การที่เซลล์ขยายตัวตามยาวทำให้รากยาวเพิ่มขึ้น
|
|
|
1.4 บริเวณเซลล์เจริญเติบโตเต็มที่
(Region of maturation)
อยู่สูงถัดจากบริเวณเซลล์ยืดตัวขึ้นมา
เซลล์ในบริเวณนี้เจริญเติบโตเต็มที่แล้วมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเนื้อเยื่อถาวรชนิดต่าง
ๆในบริเวณนี้มีเซลล์ขนราก (Root hair
cell)
เป็นเซลล์เดี่ยวที่มีขนรากเป็นส่วนหนึ่งของผนังเซลล์ยื่นออกไปเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมน้ำและแร่ธาตุ
เซลล์ขนรากเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์
เอพิเดอร์มิส บางเซลล์
เซลล์ขนรากจะมีอยู่
เฉพาะบริเวณนี้เท่านั้นเซลล์ขนรากมีอายุประมาณไม่เกิน
7-8 วัน แล้วจะเหี่ยวแห้งตายไป
แต่ขนรากในบริเวณเดิมจะมีเซลล์ใหม่สร้างเซลล์ขนรากขึ้นมาแทนที่
เนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อเจริญไปเป็นเนื้อเยื่อถาวรชนิดต่าง
ๆ ต่อไปเซลล์บริเวณขนราก
เป็นเซลล์ที่เริ่มแก่ตัวแล้วเจริญไปเป็นเนื้อเยื่อถาวรชนิดเนื้อเยื่อถาวรขั้นต้น
(Primary permanent tissue)
บริเวณขนรากประกอบด้วยเนื้อเยื่อ
3 ชนิดคือ เอพิเดอร์มิส
(Epidermis) คอร์เทกซ์ (Cortex)
และสตีล (Stele)
2.
โครงสร้างภายในของราก
เนื้อเยื่อของรากพืชใบเลี้ยงคู่และใบเลี้ยงเดี่ยว
เมื่อตัดตามขวางแล้วนำไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
พบว่ามีการเรียงตัวของเนื้อเยื่อเป็นชั้น
ๆ เรียงจากด้านนอกเข้าสู่ด้านใน
ดังนี้ |
|
|
|
2.1. เอพิเดอร์มิส (Epidermis)
เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ชั้นนอกสุดมีการเรียงตัวของเซลล์เพียงชั้นเดียว
แต่เรียงชิดกัน
เซลล์มีผนังบางไม่มีคลอโรพลาสต์
มีแวคิวโอลขนาดใหญ่
บางเซลล์เปลี่ยนไปเป็นเซลล์ขนราก
เอพิเดอร์มิส
มีหน้าที่ป้องกันอันตรายให้แก่เนื้อเยื่อที่อยู่ภายในขนรากของเอพิเดอร์มิส
ช่วยดูดน้ำและแร่ธาตุ
และป้องกันไม่ให้น้ำเข้ารากมากเกินไป
2.2 คอร์เทกซ์ (Cortex)
อยู่ระหว่างชั้น เอพิเดอร์มิส และสตีล
เนื้อเยื่อส่วนนี้ประกอบด้วยเซลล์
พาเรงคิมา เป็นส่วนใหญ่
เซลล์เหล่านี้มีผนังบางอ่อนนุ่ม
อมน้ำได้ดีเซลล์พาเรงคิมา
ทำหน้าที่สะสมน้ำและอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
ชั้นในสุดของคอร์เทกซ์ คือ
เอนโดเดอร์มิส
2.3 เอนโดเดอร์มิส (Endodermis)
เป็นเซลล์แถวเดียวกันเหมือนกับเอพิเดอร์มิส
เอนโดเดอร์มิสจะเห็นได้ชัดเจนในรากของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
เซลล์ชั้นนี้เมื่อมีอายุมากขึ้นจะมีสารซูเบอลิน
(Suberin) หรือ ลิกนิน (Lignin)
มาเคลือบทำให้ผนังหนาขึ้น
ทำให้เป็นแถบหรือปลอกอยู่
เซลล์แถบหนาดังกล่าว
เรียกว่าแคสพาเรียนสตริป (Casparian
strip)สำหรับแคสพาเรียนสตริปนี้
น้ำและอาหารไม่สามารถผ่านเข้าออกได้โดยสะดวก
ช่วงนี้จะอยู่ในบริเวณที่มีขนราก
บางทฤษฎีอธิบายว่า
การลำเลียงน้ำและแร่ธาตุสามารถผ่านเซลล์บางเซลล์ที่อยู่ในชั้น
เอนโดเดอร์มิสได้
เซลล์เหล่านี้มีผนังบางเรียกว่า พ
าสเซจเซลล์ (Passage cell)
และพาสเซจเซลล์นี้จะอยู่ตรงกับแนวของท่อไซเลม
2.4 สตีล (Stele)
เป็นชั้นที่อยู่ถัดจากชั้น
เอนโดเดอร์มิส เข้าไปในราก
สตีลจะแคบกว่า คอร์เทกซ์ สตีล
ประกอบด้วยชั้นต่าง ๆ คือ
2.4.1 เพริไซเคิล (Pericycle)
ประกอบด้วยเซลล์ พาเรงคิมา
เป็นส่วนใหญ่ เซลล์เรียงตัวแถวเดียว
แต่อาจมีมากกว่าแถวเดียวก็ได้
ชั้นนี้อยู่ด้านนอกสุดของสตีล
เพริไซเคิล พบเฉพาะในรากเท่านั้น
และเห็นชัดเจนในรากพืชใบเลี้ยงคู่เพริไซเคิล
เป็นส่วนที่ให้กำเนิดรากแขนง
(Secondary root)
ที่แตกออกทางด้านข้าง(Lateral root) |
|
|
|
ก่อนหน้า
|
หน้าหลัก
|
ถัดไป |
|
|