อากาศ

Home 
our  story 
มนุษย์ 
นิวเคลียร์ 
ทรัพยากร 
ระบบนิเวศน์ 
Contact me 
[น้ำ][ป่าไม้][อากาศ]

อากาศ

อากาศ  :  คุณภาพอากาศ  ปัญหา  และการจัดการ

โลกที่เราอาศัยอยู่นี้มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้มอยู่  มีความหนาประมาณ  1,000  กิโลเมตรแต่ชั้นบรรยากาศที่มีออกซิเจนเพียงพอสำหรับสิ่งมีชีวิตนั้นจะมีความหนาเพียง 5 – 6   กิโลเมตรเท่านั้นบรรยากาศชั้นนี้มีแก๊สต่าง ๆ เป็นองค์ประกอบในสัดส่วนที่ค่อนข้างคงที่  คือ  ไนโตรเจน  ประมาณร้อยละ  78  ออกซิเจนประมาณร้อยละ  21  คาร์บอนไดออกไซด์ร้อยละ  0.03  ไอน้ำและแก๊สอื่น  ๆ ในปริมาณเล็กน้อย

แหล่งที่มาของอากาศเสีย
             
การคมนาคม  ทั้งทางบก   ทางน้ำ    และทางอากาศ     ทำให้มีสารที่เกิดจากการกระบวนการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ปล่อยสู่บรรยากาศ  ได้แก่  คาร์บอนไดออกไซด์  คาร์บอนอนอกไซด์  ไฮโดรคาร์บอน  ออกไซด์ของซัลเฟอร์  ออกไซด์ของไนโตรเจน  

สารที่ก่อให้เกิดมลภาวะของอากาศ
            
1. อนุภาคสาร         อาจเป็นของแข็ง  เช่น  ฝุ่นละออง หรือของเหลว  เช่น  ละอองกรดกำมะถัน  ฝุ่นละออง  เขม่า  ควัน  เป็นมลพิษทางอากาศที่รุนแตงที่สุดในกรุงเทพมหานคร  ฝุ่นและเขม่าเหล่านี้จะปลิวฟุ้งมาจากพื้นถนน     และกองหินดินทรายในบริเวณที่มีการก่อสร้าง  ยานพาหนะหลายประเภทก็ปล่อยควันดำออกมา  โดยเฉพาะรถที่ใช้น้ำมันดีเซล  โรงงานอุตสาหกรรมและโรงงานผลิตไฟฟ้าที่ไม่มีการสกัดฝุ่นและเขม่าก่อนปล่อยออกสู่ภายนอก
            2. คาร์บอนไดออกไซด์       ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเพิ่มขึ้นประมาณ  0.5 %  ต่อป ี   ปริมาณที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากสาเหตุใหญ่ 2 ประการ   ประการแรกคือ การเผาผลาญสารอินทรย์และเชื้อเพลิงฟอสซิลทำให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นจำนวนมาก  อีกประการหนึ่ง  คือ  การที่มนุษย์ทำลายป่า
           3. คาร์บอนมอนออกไซด์       การเผาไหม้ในเครื่องยนต์ทั่วไปที่เกิดอย่างไม่สมบูรณ์   ทำให้มีแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ออกมา เครื่องยนต์เบนซินมีการระบายออกของแก๊สนี้มากกว่าเครื่องยนต์ดีเซล  คาร์บอนมอนอกไซด์ สามารถรวมตัวกับเฮโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดงได้ดีกว่าออกซิเจน  200-250  เท่า  ทำให้เลือดที่ถูกนำไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายขาดออกซิเจน   ถ้าได้รับคาร์บอนมอนอกไซด์ปริมาณน้อย ๆ จะเป็นผลให้เกิดอาการหน้ามือ  วิงเวียน  อ่อนเพลีย  ถ้าได้รับเข้าไปมากทำให้ถึงตายได้
           4. ซัลเฟอร์ออกไซด์     เป็นแก๊สที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อภูเขาไฟระเบิด  แต่ในปัจจุบันแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในบรรยากาศเกือบทั้งหมดเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์  การเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง     จากโรงงานไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง     แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์มีกลิ่นฉุนแสบจมูก      และจะมีอันตรายมากขึ้นเกาะตัวกับฝุ่นละอองคือทำให้แสบตา  ระคายคอ  แน่นหน้าอก  ความชื้นและออกซิเจนในอากาศทำให้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์กลายเป็นละอองกรดซัลฟิวริก      ซึ่งเป็นฝนกรดที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อเนื้อเยื่อบุผิวของร่างกาย
           5.  ออกไซด์ของไนโตรเจน  ได้แก่  ไนตริกออกไซด์ ( NO )  ไนโตรเจนไดออกไซด์  ( NO ) และไนตรัสออกไซด์ ( N O ) ออกไซด์ของไนโตรเจนเกิดขึ้นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงในเครื่องยนต์เมื่อมีออกซิเจนมาก  และการเผาไหม้เกิดอย่างสมบูรณ์  และเมื่อออกไซด์ของไนโตรเจนทำปฏิกิริยากับน้ำฝนก็กลายเป็นกรดไนตริก  ซึ่งหากมีความเข้มข้นมาก   คือมีค่าความเป็นกรดเบสต่ำ  เรียกว่า  ฝนกรด ก็จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์และพืช     ออกไซด์ของไนโตรเจนยังเกิดจากการเผาไหม้อขงถ่านหิน  น้ำมันปิโตรเลียม  และแก๊สธรรมชาติที่อุณหภูมิสูง      ซึ่งมักจะเป็นกระบวนการในโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมี  โรงงานแยกหรือแปรสภาพแก๊สธรรมชาติ  โรงงานแก้ว  ปูนซีเมนต์  และโรงไฟฟ้า  เป็นต้น       แก๊สไตริกออกไซด์ไม่จัดเป็นแก๊สพิษ  แต่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนเปลี่ยนไปเป็นไนโตรเจนไดออกไซด์  ซึ่งมีสีน้ำตาลแดง  มีกลิ่นฉุน  เป็นแก๊สพิษ  มีอันตรายร้ายแรงต่อปอดและหลอดลม  นอกจากนี้ยังทำให้พืชเติบโตช้ากว่าปกติ
          6.  สารตะกั่ว  ตะกั่วเป็นโบหะหนัก  มีความทนทานและสามารถอ่อนตัวได้     เมื่อได้รับความร้อนจึงทำให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ง่าย
          7.  สารอินทรีย์ที่ระเหยง่าย  เช่น   ไฮโดรคาร์บอน  ฟอร์มาลดีไฮด์  และสารอินทรีย์คลอไรด์  เป็นต้น  ส่วนใหญ่ถูกปล่อยออกมาจากเครื่องยนต์โดยเฉพาะที่เห็นเป็นควันขาวจากท่อไอเสียรถจักรยานยนต์และโรงงานอะตสาหกรรมเคมี
          8.  เขม่าและขี้เถ้า  ฝุ่นละออง  เขม่าและขี้เถ้าเกิดจากการเผาไหม้อย่างไม่สมบูรณ์ของสารที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบ  เขม่าและขี้เถ้าจะแขวนลอยฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ

        แสงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลกประกอบด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต( UV ) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงคลื่น  คือ  A  B  และ C
        รังสี  UVA  มีช่วงคลื่นยาว  พลังงานต่ำ  ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต  อีกทั้งยังช่วยในการสร้างวิตามินในสิ่งมีชีวิต
        รังสี  UVC  มีช่วงคลื่นสั้นที่สุด  มีพลังงานสูงเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตอย่างมาก

ยิ่งชั้นโอโซนถูกทำลายไปมากเท่าใด  รังสี  UVB  และ UVC  ก็สามารถส่องลงมาถึงผิวโลกได้มากขึ้น  โดยเฉพาะในเขตใกล้เส้นศูนย์สูตรจะได้รัะบรังสีในระยะเวลามากกว่ารังสีอัลตราไวโอแลตช่วงคลื่นสั้น

 ทำให้เกิดมะเร็งในผิวหนัง  ทำลายระบบภูมิคุ้มกันโรค  ทำลายสารพันธุกรรม  โปรตีนในร่างกายรวมทั้งดวงตา  และทำให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กตายได้  ผละกระทบที่มีต่อพืชนั้นพบว่า  การเจริญเติบโตจะช้าลง  ผลผลิตทางการเกษตรและป่าไม้ลดลง  ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหาร

       

 


 จำนวนผู้เข้าใช้งาน
ตั้งแต่วันที่ 07 ตุลาคม 2545

thaigoodview.com Version 17.0
บริหารและจัดการโดยทีมงานชาวมัธยมศึกษาและประถมศึกษา
e-mail: webmaster@thaigoodview.com

 Copyright(c) 2002 Miss Wirasa Chaileamwong and Miss Sureeporn Bumroongeiampanya. All rights reserved.