:: Welcome to Website *_*  ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์เรื่องโครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก ::

 
 
 
            หน่วยที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิตที่แสดงสมบัติของชีวิตได้คือ เซลล์ (Cell)เซลล์ที่มีรูปร่างลักษณะเหมือน ๆ กัน ทำหน้าที่อย่างเดียวกันคือเนื้อเยื่อ (Tissue) เนื้อเยื่อหลาย ๆ ชนิดร่วมกันทำงานทำให้เกิด อวัยวะ (Organ) อวัยวะหลาย ๆ อย่างร่วมกันทำงานเกิดเป็นระบบอวัยวะ (Organ system) นั่นหมายถึงสัตว์เป็นส่วนใหญ่แต่สำหรับพืชมีลักษณะที่แตกต่างจากสัตว์ออกไปตั้งแต่ระดับเซลล์ ไม่ว่าจะเป็นผนังเซลล์แวคิวโอล คลอโรพลาสต์ ซึ่งไม่พบในสัตว์ ส่วนในระดับเนื้อเยื่อของพืชยิ่งมีความแตกต่างจากเนื้อเยื่อของสัตว์ออกไปอีก

เนื้อเยื่อของพืชดอก (Plant tissue)
เนื้อเยื่อของพืชชั้นสูง (Plant tissue) หรือเนื้อเยื่อของพืชดอก แบ่งตามความสามารถในการแบ่งเซลล์ได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. เนื้อเยื่อเจริญ (Meristematic tissue หรือ Meristem)
(คำว่า Meristem มาจากภาษากรีก Meristos แปลว่า แบ่งได้) เนื้อเยื่อเจริญ หมายถึงเนื้อเยื่อที่มีเซลล์กำลังแบ่งตัวแบบไมโทซิส (Mitosis) เพื่อสร้างเซลล์ใหม่พบมากตามบริเวณปลายยอดหรือปลายราก ลักษณะเด่นของเซลล์ที่อยู่ในกลุ่มเนื้อเยื่อเจริญคือ เซลล์ยังมีชีวิตอยู่ มีโพรโทพลาซึมที่ข้นมาก ผนังเซลล์ (Cell wall) บางและมักเป็นสารประกอบเซลลูโลสเป็นส่วนใหญ่ ภายในเซลล์ เห็นนิวเคลียสได้ชัดเจนและมีขนาดใหญ่ เมื่อเปรียบเทียบกับไซโทพลาซึม มีแวคิวโอล ขนาดเล็กหรือเกือบไม่มีแวคิวโอล เซลล์มีรูปร่างแตกต่างกันหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่รูปร่างค่อนข้างกลม หรือมีลักษณะหลายเหลี่ยม ทุกเซลล์แบ่งตัวได้ แต่ละเซลล์อยู่ชิดติดกันมากทำให้ช่องว่างระหว่างเซลล์ (Intercellular space) แทบจะไม่มี หรือไม่มีเลย เซลล์ของเนื้อเยื่อเจริญยังมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อไปทำหน้าที่
ต่าง ๆการเจริญเติบโตที่เกิดจากเนื้อเยื่อเจริญมี 2 แบบ คือ การเจริญเติบโตขั้นแรก
(Primary growth) และการเจริญเติบโตขั้นที่สอง (Secondary growth) การเจริญเติบโต
ขั้นแรกจะทำให้รากและลำต้นมีความยาวเพิ่มขึ้น การเจริญเติบโตขั้นที่สอง จะทำให้พืช
มีความกว้างเพิ่มขึ้น เนื้อเยื่อเจริญแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

 
1.1 เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย (Apical meristem)
เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย หรือเอพิคอลเมอริสเต็ม เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่บริเวณปลายยอดหรือปลายราก รวมทั้งที่ตา (Bud) ของลำต้นของพืชเมื่อแบ่งเซลล์แล้วทำให้ปลายยอดหรือปลายรากยืดยาวออกไป
1.2 เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ (Intercalary meristem)
เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อเป็นเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่เหนือโคนปล้อง (Internode) หรือเหนือข้อ(Node) ทำให้ปล้องยืดยาวขึ้น พบได้ในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่น หญ้าข้าว ข้าวโพด
ไผ่ อ้อย เป็นต้น
1.3 เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง (Lateral meristem)
เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่ทางด้านข้างของรากหรือลำต้นทำการแบ่งตัวทำให้เพิ่มขนาดของรากหรือลำต้น เนื้อเยื่อเจริญด้านข้างทำให้เกิดการเจริญขั้นที่สอง พบในพืชใบเลี้ยงคู่ทั่ว ๆไป และพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่น จันทน์ผา หมากผู้หมากเมีย เป็นต้น เนื้อเยื่อเจริญชนิดนี้เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าแคมเบียม (Cambium) ถ้าเป็นเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่ในกลุ่มของท่อลำเลียง เรียกว่าวาสคิวลาร์แคมเบียม (Vascular cambium) หากเนื้อเยื่อเจริญนั้นอยู่ถัดจากเนื้อเยื่อชั้นนอก ของรากหรือลำต้นเข้าไปข้างในเรียกว่า คอร์กแคมเบียม
(Cork cambium)
  2. เนื้อเยื่อถาวร (Permanent tissue)
เนื้อเยื่อถาวรเป็นกลุ่มเซลล์ที่มีรูปร่างและหน้าที่แตกต่างกันไป แยกออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภทตามหน้าที่ดังนี้
2.1 เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว (Simple permanent tissue)
เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว เป็นกลุ่มเซลล์ที่ประกอบด้วยเซลล์ชนิดเดียวกัน ทำหน้าที่อย่างเดียวกันแบ่งออกเป็นชนิดต่าง ๆ ตามหน้าที่ได้ 2 ประเภท ดังนี้
2.1.1 เนื้อเยื่อป้องกัน (Protective tissue) แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1) เอพิเดอร์มิส (Epidermis) คือเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านนอกสุดของส่วนต่าง ๆ ของพืช มักเรียงตัวชั้นเดียว ผนังเซลล์บาง ไม่มีคลอโรพลาสต์ เซลล์มี
ลักษณะแบน มีแวคิวโอลขนาดใหญ่ เซลล์เรียงตัวอัดแน่นจนไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์ผนังเซลล์ที่อยู่ด้านนอกมักหนากว่าผนังเซลล์ที่อยู่ด้านใน มีคิวทิน (Cutin) เคลือบผนังเซลล์มีการเจริญเปลี่ยนแปลงไปเป็นขนราก (Root hair) เซลล์คุม (Guard cell) ขน (Trichome) และ ต่อม (Gland)
เนื้อเยื่อเอพิเดอร์มิสทำหน้าที่ปกคลุมและป้องกันอันตรายให้แก่พืช
   
 

ก่อนหน้า | หน้าหลัก | ถัดไป