ศิลปะสมัยประวัติศาสตร์
2.1 ยุคโบราณ เมโสโปเตเมีย ศิลปะกับความเชื่อในชีวิต อียิปต์ อมตะ กรีก ศิลปะกับความเชื่อใน โรมัน คุณค่ามนุษย์
2.2 ยุคมืด ยุโรปยุคกลาง ศิลปะกับ ความศรัทธาในศาสนาคริสต์ โลกอาหรับยุคกลาง ศิลปะกับความศรัทธาในศาสนาอิสลาม
2.3 ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ศิลปะกับการแสวงหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์ (คริสต์ศตวรรษที่ 15- 18) ประกอบด้วย ศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ , ศิลปะบารอค, ศิลปะรอคโคโค, ศิลปะนีโอคลาสิค
หลังยุคมืดจบลง ยุโรปก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ชาวยุโรปหันมา สนใจความรู้ต่างๆ ของกรีกและโรมัน หลังจากถูกปิดกั้น จากศาสนจักรเป็นเวลานาน จึงเรียกยุคนี้ว่า “ยุคฟื้นฟู ศิลปวิทยาการ” มีการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ การปฏิรูปศาสนา และการเดินเรือสำรวจดินแดนใหม่ๆ ทำให้ โลกทัศน์ชาวยุโรปเปิดกว้าง บางครั้งเรียกสมัยนี้ว่า สมัยใหม่ช่วงแรก กล่าวคือ ปลายยุคมืด เกิดสงครามครูเสด(ระหว่างศาสนาคริสต์กับ ศาสนาอิสลาม) ผลของสงครามทำให้ชาวยุโรปล้มตายเป็นจำนวนมาก ชาวยุโรปเริ่มคิดทบทวนในเรื่องศาสนาใหม่ นอกจากนี้สงครามยังทำให้ ชาวยุโรปได้เห็นสินค้าต่างๆของเอเชียเกิดการตื่นตัวด้านการค้า ขุนนาง ที่เคยมีอำนาจในระบอบฟิวดัลค่อยๆลดบทบาทลง พ่อค้าชนชั้นกลางขึ้นมาเป็นผู้กุมเศรษฐกิจแทน และได้สนับสนุนกษัตริย์ให้รวบรวม แคว้นต่างๆจัดตั้งเป็นประเทศชาติขึ้น การขยายตัวทางการค้าทำให้ชาวยุโรปมีโลกทัศน์เปิดกว้างทั้งการประจักษ์ในมรดกวัฒนธรรมคลาสิก ของชาวกรีกและโรมันที่ยังคง ปรากฏในอาณาจักรไบเซนไทน์ และเมื่อกรุงคอนสแตนติโนเปิลถูก เตริ์กยึดครองผู้คนและวิทยาการได้หลั่งไหลเข้ามาสู่ยุโรปอันนำไปสู่ การฟื้นฟูศิลปวิทยาการต่างๆของชาวกรีกและโรมันอีกครั้งหนึ่ง การฟื้นฟูศิลปวิทยาการมีส่วนทำให้คนมีอิสระมากขึ้นใน การตั้งข้อสงสัยในศาสนจักรและคำสอนต่างๆ โลกทัศน์จึงเปลี่ยนไปหันไปสนใจคุณค่าของมนุษย์และ เสรีภาพ อันนำไปสู่การค้นหาความจริง การทดลองและการใช้เหตุผลจนเกิดความรู้ใหม่ๆ มากมายในโลกวิทยาการทั้งด้านดาราศาสตร์(ทำให้นักเดินเรือไปถึง จุดหมายถูกต้อง) คณิตศาสตร์ รวมทั้งเทคนิคในงานศิลปะ จึงมีการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ การปฏิรูปศาสนา และการเดินเรือสำรวจดินแดนใหม่ๆ ศิลปะในยุคนี้จึงมีลักษณะผสมผสานระหว่าง แนวความคิดแบบมนุษยนิยม ธรรมชาตินิยม และ ศาสนาคริสต์ และมีอิสระมากขึ้น งานจิตรกรรมได้รับการพัฒนาอย่างมากเน้นความเป็นจริงทางด้านการให้แสง เงา และความตื้นลึกที่เรียกว่า ภาพเปอร์สเปกตีฟ( Perspective) เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ในอิตาลีเป็นศูนย์กลางสำคัญต่อมาเป็นโรมและส่งอิทธิพลออกไป ศิลปินที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ได้แก่ บอตติเชลลี, ลีโอนาร์โด ดาวินซี, มิเคลันเจโล, ราฟาเอล, โดนาเตลโล โดยเฉพาะศิลปินเมืองฟลอเรนซ์ได้รับการอุปถัมภ์โดยผู้ปกครองตระกูลเมดิซี ลีโอนาร์โด ดาวินซี เป็น ทั้งจิตรกร ประติมากร นักประดิษฐ์ วิศวกรทางทหาร สนใจทุกเรื่องทำให้ภาพวาดที่สำเร็จมีไม่เกิน 20 ภาพ มิเคลันเจโล เป็นประติมากร จิตรกร และสถาปนิก
ศิลปะรอคโคโค ( Rococo) ค.ศ. 1700-1789 เป็นศิลปะที่สะท้อนความโอ่อ่า หรูหรา ประดับประดาตกแต่งอย่างวิจิตร ละเอียดลออ ส่งเสริมความรื่นเริงยินดี ความรัก และกามารมณ์ เช่นการตกแต่ง ในพระราชวังแวร์ซายส ์ศิลปะคลาสิกใหม่ ( Neoclassic) ค.ศ. 1780 – 1840 ฟื้นฟูศิลปะคลาสิกสมัยกรีกและโรมันกลับมาสร้างใหม่ เน้นความประณีต ละเอียดอ่อน นุ่มนวล เหมือนจริงด้วยสัดส่วน และแสงเงา
ข้อมูลจาก : http://ku-iged.project.ku.ac.th/031/t_savitree6.ppt