เครื่องดนตรีสากล
สร้างโดย : นายนิพันธ์ วรรณเวช และนางสาวธัญญารัตน์
สร้างเมื่อ เสาร์, 22/11/2008 – 16:09
มีผู้อ่าน 293,163 ครั้ง (26/10/2022)
ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/18268
เครื่องดนตรีสากล
เมื่อดนตรีของชาติตะวันตกที่คิดค้นมาจากทวีปยุโรป และทวีปอเมริกา ได้รับการยอมรับ มีการนำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย ดนตรีตะวันตกจึงกลายเป็นดนตรีของคนทุกชาติ ทุกภาษา ถือได้ว่าเป็นของสากล จึงเกิดคำว่า”ดนตรีสากล” ขึ้นมา เครื่องดนตรีตะวันตกก็เช่นเดียวกัน เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ชาติตะวันตกได้คิดค้นขึ้นมา และมีการนำไปใช้กันอย่างแพร่หายทั่วโลก เป็นที่ยอมรับของคนทุกชาติ ทุกภาษา ถือว่าเป็นของสากลเช่นกัน จึงเกิดคำว่า”เครื่องดนตรีสากล” ซึ่งหมายถึง เครื่องดนตรีที่ถือกำเนิดมาจากชาติตะวันตกนั่นเอง
เครื่องดนตรี คือสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อกำเนิดเสียงชนิดต่างๆ ตามที่ต้องการ ทำให้เกิดความหลากหลายของเสียง บทเพลงมีสีสัน มีชีวิตชีวา เสริมสร้างอารมณ์จากเสียงของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ เครื่องดนตรีสากลในปัจจุบันสาารถจำแนกออกได้เป็น 5 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1. เครื่องสาย (String Instruments)
เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายเกิดเสียงโดยการทำให้สายสั่นสะเทือน มีทั้งการดีด และการสีโดยใช้คันชัก สายของเครื่องดนตรีประเภทนี้ มีทั้งสายที่ทำมาจากเส้นลวด เส้นเอ็น หรือเส้นไหม นำมาขึงให้ตึง ความดังของเสียงขึ้นอยู่กับรูปร่าง และวัสดุที่นำมาใช้ทำกะโหลกเครื่องดนตรี กะโหลกทำหน้าที่เป็นตัวขยายเสียงที่เกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนของสาย เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ที่นำมาใช้ในการประสมวงดนตรีในปัจจุบัน มีดังนี้
- ไวโอลิน (Violin) คือ เครื่องดนตรีที่กำเนิดเสียงในระดับสูง ลำตัวของไวโอลินทำด้วยไม้ มี 4 สาย ตั้งสายต่างกันในระดับคู่ 5 (G,D,A และ E) ปกติเล่นโดยใช้คันชักสีที่สายให้สั่นสะเทือน แต่บางครั้งก็จะใช้นิ้วดีด เพื่อให้เกิดเสียงสั่น ไวโอลินจะต้องวางบนไหล่ข้างซ้ายของผู้เล่น แล้วใช้คางหนีบไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ มือขวาของผู้เล่นใช้สีสายไวโอลินด้วยคันชัก โดยทั่วๆไปคันชักจะทำด้วยหางม้า ชาวอิตาเลียนที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่ผลิตไวโอลินได้อย่างยอดเยื่ยม เมืองที่มีชื่อเสียงในการผลิตไวโอลิน คือ Cremonna (1600-1750) ตระกูลที่มีชื่อเสียงในการผลิตจะมีอยู่ 3 ตระกูล คือ Amati, Stradivari, Guarneri
- วิโอลา (Viola) เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลไวโอลิน ขนาดใหญ่กว่าไวโอลินเล็กน้อย ช่วงเสียงอยู่ในระดับอัลโต (Alto) ลำตัวของวิโอลาทำด้วยไม้ มี 4 สาย ตั้งเสียงห่างกันในระยะคู่ 5 (C G D A) โนีตสำหรับวิโอลาบันทึกอยู่ในกุญแจเสียงซี (Alto clef) ตำแหน่งของวิโอลาจะอยู่ในลักษณะเดียวกับไวโอลิน คุณภาพเสียงของวิโอลาจะไม่สดใสเหมือนเสียงของไวโอลิน มีลักษณะเสียงเหมือนเสียงนาสิก
- เชลโล (Cello) หรือ “วิโอลอนเชลโล” (Violoncello) เป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ในตระกูลไวโอลิน มีขนาดยาวและใหญ่กว่าไวโอลินเป้น 2 เท่าโดยประมาณ มี 4 สาย ตั้งเสียงห่างกันในระยะคู่ 5 (C D G A) โน๊ตสำหรับเชลโลบันทึกด้วยกุญแจเสียงเอฟ (F clef) ระดับเสียงต่ำกว่าไวโอลิน คุณภาพเสียงทุ้มลึกกว่าเสียงของไวโอลิน ในขณะที่เล่นต้องนั่งใช้เข่าหนีบให้เชลโลอยู่ระหว่างขาทั้ง 2 ข้าง
- ดับเบิลเบส (Double Bass) เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลไวโอลินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีชื่อเรียกหลายชื่อเช่น สตริงเบส (String Bass) คอนทราเบส (Contra Bass) เบสวิโอล (Bass Viol) รูปร่างจะแตกต่างจากเครื่องดนตรีในตระกูลไวโอลิน คือ ตรงบ่าของเครื่องจะมีความลาดมากกว่า พื้นแผ่นด้านหลังของลำตัว จะแบนราบมากกว่า การตั้งสายทั้ง 4 ก็จะไล่ระดับต่างกันในระยะคู่ 4 แทนที่จะเป็นคู่ 5 เวลาเล่นต้องตรึงเครื่องไว้บนพื้นโดยมีหมุดยึดไว้ คุณภาพเสียงของดับเบิลเบสจะหนักแน่น และให้ความรู้สึกอุ้ยอ้าย เยิ่นเย่อเหมือนกับการเคลื่อนที่ของสิ่งของใหญ่โตที่มีน้ำหนักมาก โน๊ตสำหรับดับเบิลเบสจะต้องบันทึกด้วยกุญแจเสียเอฟ (F clef)
- ฮาร์ป (Harp) คือ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายแตกต่างจากเครื่องสายชนิดอื่นๆ คือ การขึงสาย มีจำนวนมาก ประมาณ 46-47 สาย และจะไม่ผ่านกล่องเสียง (Sounding Board) โครงสำหรับขึงสายมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม โค้งงอเล็กน้อย ปกติจะเล่นด้วยการดีดที่สาย คุณภาพเสียงของฮาร์ปมีความแจ่มใสกว่าเสียงของเปียโน เสียงของฮาร์ปสามารถใช้เพื่อแสดงการไหลของสายน้ำ แสดงความสดชื่นแจ่มใส มีวิวัฒนาการมาจากไลร์ ฮาร์ปมีอยู่ 2 ชนิด คือ ดับเบิลแอคชั่น (Double Action) มีกระเดื่องสำหรับใเท้าเหยียบ (Pedal) 7 อัน สำหรับควบคุมเสียงดนตรี และโครมาติค (Chromatic) จะไม่มีกระเดื่องเหยียบ สายแต่ละสายจะให้เสียงในระยะครึ่งเสียง ส่วนมากจะใช้ชนิดดับเบิลแอคชั่นมากกว่า เริ่มใช้ในวงออร์เครสตร้าตั้งแต่ต้นของศตวรรษที่ 17
- ไลร์ (Lyre) คือ เครืองดนตรีที่ต้องเล่นด้วยวิธีดีด เป็นเครื่องดนตรีเก่าแก่มาก ปกติใช้เล่นคลอประกอบการขับร้องหรือการขับลำนำ โคลงฉันท์ กาพย์กลอน และที่นำมาใช้มากคือการขัขกล่อมเกี่ยวกับศาสนาไลร์ มีโครงสร้างอย่างง่ายๆ มีแขนสองข้างยึดติดกับกล่องเสียง มีคานระหว่างแขนทั้งสองข้างเพื่อสำหรับไว้ขึงสาย ส่วนมากทำมาจากกระดองเต่า รูปทรงของไลร์มีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย
- ลูท (Lute) คือเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายโบราณมีอายุเก่าแก่มาก จากภาพวาดในยุคเมโสโปเตเมียพบว่าลูทยุคนี้มีคอยาว เล่นด้วยการใช้นิ้วดีด รูปร่างของลูทเหมือนกับไข่ครึ่งใบหรือลูกแพร์ผ่าครึ่ง คอของลูทมีเฟรท (Flet) คั่นอยู่ 7 อัน ถ้าคอยาวมากจำนวนเฟรทก็จะมากเพิ่มขึ้นด้วย
- แบนโจ (Banjo) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย เล่นด้วยวิธีดีดด้วยนิ้วมือหรือดีดด้วยเพล็คทรัม (Plectrum) นิยมเล่นในกลุ่มนักร้อง นักดนตรีชาวอเมริกัน กล่องเสียงของแบนโจจะเหมือนกับหน้ากลองมีหนังลูกวัวขึงปิดอยู่ คอแบนโจมีเฟรทคั่นอยู่เหมือนกับคอของกีตาร์ สายของแบนโจมีจำนวนตั้งแต่ 4, 5 หรือ 9 สาย โดยทั่วไปจะใช้ชนิด 5 สาย
- กีตาร์ (Guitar) คือ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย เล่นโดยวิธีการดีด เกี่ยว หรือกรีดลงบนสายกีตาร์ อาจใช้นิ้ว หรือเพล็คทรัมก็ได้ กล่องเสียงของกีตาร์มีลักษณะคล้ายไวโอลินขนาดใหญ่ คอยาว มีเฟลทโลหะวางคั่นอยู่ มี 6 สาย สายของกีตาร์มีทั้งที่ทำด้วยโลหะ และไนล่อน กีตาร์ในปัจจุบันได้พัฒนารูปแบบไปอย่างหลากหลาย กีตาร์สายไนล่อนจะเรียกว่า กีตาร์คลาสสิกกีตาร์ที่เกิดเสียงโดยธรรมชาติจะเรียกว่า กีตาร์อคูสติก (Acoustic Guitar) ถ้ามีการนำเอาเครื่องเสียงไปขยายด้วยวงจรไฟฟ้าเพื่อให้เกิดเสียงดังขึ้น ก็จะเรียกว่า กีตาร์ไฟฟ้า (Electric Guitar)
- แมนโดลิน (Mandolin) เป็นเครื่องสายที่ให้ระดับเสียงสูง ผู้เล่นจะใช้เพล็คทรัม หรือ ปิ๊ก ดีดไปที่สาย โดยใช้เทคนิคการดีดแบบ ทรีโมโล (Tremolo) คือการดีดสายขึ้นลงอย่างเร็วติดต่อกันเพื่อให้เกิดเสียงสั่นรัว เป็นเครื่องดนตรีตระกูลลูท มี 2 ชนิดคือ 1) Neapolitan มีความยาว 2 ฟุต 2) Milanese มีขนาดใหญ่กว่า Neapolitan
2. เครื่องลมไม้ (Woodwind Instruments)
เครื่องดนตรีประเภทนี้ เกิดเสียงโดยการเป่าลมผ่านช่องแคบๆ ให้เข้าภายในท่อ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวขยายเสียงให้ดังขึ้น คุณลักษณะของเสียงที่เกิดขึ้น จะแตกต่างกัน ตามขนาดของท่อ ความสั้นยาวของท่อ และความแรงของลมที่เป่าเข้าไปภายในท่อ เครื่องดนตรีขนาดเล็กจะให้ระดับเสียงสูง เครื่องดนตรีขนาดใหญ่จะให้ระดับเสียงต่ำ ผู้บรรเลงจะต้องเลือกใช้เครื่องดนตรีให้เหมาะสมกับบทเพลง ตามที่ผู้ประพันธ์เพลงได้กำหนดไว้
- บีแฟล็ตคลาริเนต (Bb Clarinet) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้ ใช้ลิ้นเดียว ถูกใช้เป็นตัวแทนเมื่อกล่าวถึงปี่คลาริเนตเสมอ ลำตัวปี่คลาริเนตทำด้วยโลหะและไม้ หรือบางครั้งก็ทำด้วยยางหรือพลาสติก ลำตัวปี่กลวง เปลี่ยนระดับเสียงโดยใช้นิ้วและคียืโลหะบุนวมปิดเปิดรู ปี่คลาริเนตมีรูปร่างคล้ายปี่โอโบ แตกต่างกันที่ปากเป่า (กำพวด) คุณภาพเสียงของปี่คลาริเนต มีช่วงเสียงกว้างและทุ้มลึกมีนิ้วพิเศษที่ทำเสียงได้สูงมากเป็นพิเศษ
- เบสคลาริเนต (Bass Clarinet) คุณภาพเสียงของเบสคลาริเนตกว้างและลึกกว่าคลาริเนตในระดับเสียงอื่นๆ เหมาะที่จะนำไปใช้บรรเลงแนวทำนองในระดับเสียงต่ำ เสียงสูงก็สามารถบรรเลงได้เช่นกัน แต่ใช้น้อยมาก ลักษณะเด่นอยู่ที่ข้อต่อ กำพวดจะเป็นรูปโค้งงอ ปากลำโพงทำด้วยโลหะ งอย้อนขึ้นมาคล้ายกับแซ็กโซโฟน
- อัลโตคลาริเนต (Alto Clarinet) ขนาดจะใหญ่และยาวกว่าคลาริเนต มีระดับเสียงต่ำกว่าบีแฟล็ตคลาริเนตอยู่คู่ 5 เพอร์เฟกต์ ปากลำโพงทำด้วยโลหะ โค้งงอย้อนขึ้นมาหมือนแซ็กโซโฟน
- อีแฟล็ตคลาริเนต (Eb Clarinet) มีขนาดเล็กกว่าบีแฟล็ตคลาริเนต มีระดับเสียงสูงกว่าคู่ 5 เพอร์เฟกต์
- แซ็กโซโฟน (Saxophone) เครื่องดนตรีในตระกูลแซ็กโซโฟนสร้างขึ้นโดย อดอล์ฟ แซก (Adolph Sax) แห่งเมืองบรัสเซล (Brussels) ประเทศเบลเยี่ยม เมื่อปี ค.ศ. 1840 ใช้กำพวดที่มีลิ้นเดี่ยว เหมือนอย่างปี่คลาริเนต แต่ลำตัวจะเป็นทรงกรวยเหมือนโอโบ ลำตัวทำด้วยโลหะ ปากลำโพงโค้งงอย้อนขึ้นมา แซ็กโซโฟนขนาดเล็กให้เสียงสูง ขนาดใหญ่ให้เสียงต่ำ เสียงของแซ็กโซโฟนเป็นลักษณะผสมผสานมีทั้งความพลิ้วไหว ความกลมกล่อมและความเข้มแข็งปะปนกัน
แซ็กโซโฟนมีหลายระดับเสียงดังนี้- โซปราโน แซ็กโซโฟน (ระดับเสียงบีแฟล็ต)
- อัลโต แซ็กโซโฟน (ระดับเสียงอีแฟล็ต)
- เทนเนอร์ แซ็กโซโฟน (ระดับเสียงบีแฟล็ต)
- บาริโทน แซ็กโซโฟน (ระดับเสียงอีแฟล็ต)
- ซํบคอนทร้าเบส แซ็กโซโฟน (ระดับเสียงบีแฟล็ต)
- โอโบ (Oboe) โอโบและเครื่องดนตรีอื่นๆในตระกูลโอโบ เช่น บาสซูน และอิงลิชฮอร์นเป็นเครื่องดนตรีประเภทลิ้นคู่ ลำตัวโอโบเป็นรูปทรงกรวย ทำด้วยไม้ แบ่งเป็น 3 ท่อน เวลาใช้ต้องต่อเข้าด้วยกัน มีรูสำหรับใช้นิ้วปิดเปิด 6 รู และมีคีย์โลหะบุนวมต่อเป็นระบบกลไกเชื่อมโยงสำหรับปิดเปิดรูอีกด้วย คุณภาพเสียงของโอโบมีความแหลมเสียดแทงและมีลักษณะเสียงนาสิก
- อิงลิชฮอร์น (English Horn) หรือเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า คอร์อังแกลส์ (Cor Anglais) มีเสียงเหมือนโอโบ แต่ต่ำกว่าในระดับคู่ 5 จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อัลโตโอโบ (Alto Oboe) เป็นเครื่องดนตรีที่มีลิ้นคู่ มีเสียงโหยหวน โศกเศร้า
- บาสซูน (Bassoon) มีเสียงต่ำเป็นเบส บาสซูนป็นเครื่องดนตรีสำคัญในการประสมวงควอเต็ทสำหรับเครื่องลมไม้ คุณภาพเสียงของบาสซูนในช่วงเสียงสูงจะแหลม เสียงในช่วงกลางจะทึบ กลวง ไม่หนักแน่น ส่วนมากมักจะใชเสียงของบาสซูนแสดงถึงความตลกขบขัน
- ฟลุท (Flute) ฟลุทมีท่อกลวงเกิดเสียงโดยการเป่าลมผ่านส่วนปากเป่า ผู้เล่นต้องถือฟลุทให้ขนานกับพื้น ฟลุทในระยะแรกทำด้วยไม้ปัจจุบันฟลุททำด้วยโลหะผสม คุณภาพเสียงของฟลุทในระดับสูงมีเสียงแจ่มใส เป่าเสียงในระดับสูงได้ดี เสียงในระดับต่ำมีความนุ่มนวล เหมาะสำหรับใช้บรรเลงเดี่ยว บรรเลงทำนองหลักของบทเพลง และบรรเลงทำนองสอดแทรกต่างๆในระดับเสียงสูง
- ปิคโคโล (Piccolo) เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลฟลุท วีธีการเป่าจึงเหมือนกับการเป่าฟลุท มีระดับเสียงสูงกว่าฟลุทอยู่ 1 ช่วงคู่แปด มีขนาดเล็กกว่าฟลุท 4 เท่า จึงทำให้มีคุณภาพเสียงที่สดใสและแหลมมาก จึงเหมาะที่จะใช้ในการเล่นในระดับเสียงกลางและสูงมากกว่าในระดับเสียงต่ำ
- เรคอร์เดอร์ (Recorder) เป็นเครื่องดนตรีเก่าแก่ พัฒนาจากยุคกลางจนถึงศตวรรตที่ 18 เรคอร์เดอร์มีรูสำหรับใช้นิ้วปิดเปิด 8 รู ลำตัวจะเป็นทรงกรวยทำด้วยไม้หรือพลาสติก มีปากเป่าลักษณะเหมือนนกหวีด คุณภาพเสียงของเรคอร์เดอร์จะนุ่มนวลบางเบา เสียงระดับสูงมีความแจ่มใส ในปัจจุบันเรคอร์เดอร์ได้สร้างขึ้นใหม่ มีระดับเสียงสูงถึงต่ำ 4 ระดับดังนี้
- เดสแคนท์ (Descant) หรือ โซปราโน (Soprano)
- เทร็บเบิล (Treble) หรือ อัลโต (Alto)
- เทเนอร์ (Tenor)
- เบส (Bass)
3. เครื่องลมทองเหลือง (Brass Instruments)
เครื่องดนตรีประเภทนี้มักทำด้วยโลหะผสมหรือโลหะทองเหลือง เสียงของเครื่องดนตรีประเภทนี้เกิดจากเป่าลมผ่านท่อโลหะ ความสั้นยาวของท่อโลหะทำให้ระดับเสียงเปลี่ยนไป การเปลี่ยนความสั้นยาวของท่อโลหะจะใช้ลูกสูบเป็นตัวบังคับ เครื่องดนตรีางชนิดจะใช้การชักท่อลมเข้าออก เปลี่ยนความสั้นยาวของท่อตามความต้องการ ลักษณะเด่นคือ มีปากลำโพงสำหรับใช้ขยายเสียงให้มีความดังเจิดจ้า ปากเป่าของเครื่องดนตรีประเภทนี้เรียกว่า “กำพวด” (Mouthpiece) ทำด้วยท่อโลหะ ทรงกรวย ด้านปากเป่ามีลักษณะบานออก คล้ายรูปถ้วยมีขนาดต่างๆกัน
- ทรัมเป็ท (Trumpet) ทรัมเป็ทมีลูกสูบ 3 ลูกสูบสำหรับเปลี่ยนความสั้นยาวของท่อลม เพื่อเปลี่ยนระดับเสียงดนตรีที่เกิดขึ้น บางครั้งกดเพียง 1 นิ้ว บางครั้ง 2 นิ้ว หรือ 3 นิ้วพร้อมกัน เป่าโดยเม้มริมฝีปาก แล้วทำให้ริมฝีปากสั่นสะเทือนในกำพวด เสียงของทรัมเป็ทเป็นเสียงที่มีพลังและดังเจิดจ้า ในบทเพลงต่างๆมัดใช้เสียงทรัมเป็ทบรรยายลักษณะของความกล้าหาญ การรบพุ่ง หรือความสง่างามในพิธีสำคัญต่างๆ ทรัมเป็ทจะอยู่ในระดับเสียง บีแฟล็ต
- ทูบา (Tuba) คือเครื่องดนตรีที่มีระดับเสียงต่ำสุด ทูบามีพัฒนาการมาจากการเป่าเขาสัตว์และการเป่าสังข์ ท่อลมของทูบามีลักษณะค่อยๆบานออก ส่วนตรงปลายท่อ บานเป้นลำโพง กำพวดเป็นโลหะรูปถ้วย มีลูกสูบ 3 หรือ 4 ลูกสูบ ทุบามีทั้งในระดับเสียงอีแฟล็ต และบีแฟล็ต
- ยูโฟเนียม (Euphonium) ลักษณะเสียงของยูโฟเนียมจะนุ่มนวล ทุ้มลึก และมีความหนักแน่มาก สามารถเล่นในระดับเสียงต่ำได้ บางครั้งนำไปใช้ในวงออร์เครสตร้าแทนทูบา มีเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งชื่อ “บาริโทน” มีเสียงใกล้เคียงกับยูโฟเนียม แต่ท่อลมมีขนาดเล็กกว่า เสียงของบาริโทนจะมีความห้าวกว่ายูโฟเนียม
- ซูซาโฟน (Sousaphone) คือเครื่องลมทองเหลืองที่ใหญ่ที่สุด ชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้เกียรติกับ จอห์น ฟิลิป ซูซา (John Philip Sousa) นักประพันธ์เพลงและผู้ควบคุมดนตรีที่มีชื่อเสียงของอเมริกา ซูซาโฟนจะนำไปใช้บรรเลงในวงมาร์ชชิ่ง วงแตรวง และวงโยธวาทิต ซูซาโฟนมีลำตัวม้วนเป็นขด ผู้เล่นต้องสอดตัวเข้าไปในขดของเครื่อง เสียงของซูซาโฟนเหมือนกับทูบา คือ ต่ำทุ้มลึก
- คอร์เน็ท (Cornet) ลักษณะคล้ายกับทรัมเป็ทแต่ลำตัวสั้นกว่า คุณภาพของเสียงมีความนุ่มนวล กลมกล่อม เสียงสดใสน้อยกว่าทรัมเป็ท คอร์เน็ทนำมาใช้ในวงออร์เคสตร้าเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ ค.ศ. 1829 ในการแสดงโอเปร่า ของ Rossini เรื่อง William Tell ในปัจจุบันคอร์เน็ทเป็นเครื่องดนตรีสำคัญสำหรับวงโยธวาทิตและแตรวง
- บิวเกิล (Bugle) เป็นเครื่องเป่าทองเหลือง ไม่มีลูกสูบ เป่าโดยใช้กำพวด เป่าได้ 8 เสียงใช้สำหรับเป่าแตรสัญญาณของทหาร
- ฟลูเกิลฮอร์น (Flugelhorn) ลักษณะคล้ายแตรบิวเกิล ปกติมี 3 ลูกสูบ รูปร่างค่อนข้างใหญ่กว่าคอร์เน็ท ลักษณะของเสียงคล้ายกับฮอร์น แต่มีความห้าวมากกว่าฮอร์น
- เฟรนช์ฮอร์น (French-Horn) พัฒนามาจากการเป่าเขาสัตว์เพื่อใช้บอกสัญญาณต่างๆ ท่อลมจะขดเป็นวงกลม คุณภาพของเสียงเฟรนช์ฮอร์นโปร่งเบาและมีความนุ่มนวลกังวาน เฟรนช์ฮอร์นในยุคแรกไม่มีนิ้วกด เล่นเสียงได้จำกัดใช้สำหรับการล่าสัตว์ ในปลายศตวรรตที่ 17 เฟรนช์ฮอร์นมีขนาดเล็กลง มีลูกสูบ 3 นิ้ว และนำไปใช้ในวงออร์เคสตร้า ในวง Woodwind Quintet จะต้องมี French horn ร่วมด้วยอยู่เสมอ
- ทรอมโบน (Trombone) มีคันชักโค้งเป็นรูปตัวยู สำหรับเปลี่ยนความสั้นยาวของท่อลม ตำแหน่งของการเลื่อนคันชักจะมีอยู่ทั้งหมด 7 ตำแหน่ง ให้ระดับเสียงดนตรีต่างออกไป เป่าโดยใช้กำพวดเป็นรูปถ้วย พัฒนามาจากแตรทรอมบา (Tromba)
4. เครื่องตีกระทบ (Percussion Instrument)
เครื่องดนตรีที่เกิดเสียงจาการตี การสั่น การเขย่า การเคาะ หรือการขูด เครื่องตีกระทบประกอบขึ้นด้วยวัสดุที่เป็นของแข็งหลายชนิด เช่น โลหะ ไม้ หรือแผ่นหนังขึงตึง
- กลองใหญ่ (Bass Drum) คือเครื่องตีกระทบ มี 2 หน้า ขึงด้วยหนังกลอง กลองใหญ่ที่ใช้ในวงออร์เคสตร้าจะมีขนาดใหญ่ที่สุดกว่า 32 นิ้ว ถ้าใช้ในวงโยธวาทิต จะมีขนาดตั้งแต่ 20-32 นิ้ว ตีด้วยไม้ ปลายไม้ข้างหนึ่งทำเป้นปมไว้สำหรับใช้ตีกระทบกับหนังกลอง ปมนั้นอาจหุ้มด้วยสักหลาด ไม้ก๊อก ผ้านวมหรือฟองน้ำ เสียงกลองตีเน้นย้ำจังหวะเพื่อใหเกิดความหนักแน่น หรืออาจจะใช้รัวเพื่อให้เกิดความตื่นเต้น รัวเพื่อสร้างจุดสนใจในบทเพลงเพิ่มขึ้นได้
- กลองเล็ก (Small Drum) คือเครื่องตีกระทบ มี 2 หน้า ขึงด้วยหนังกลอง ลักษณะเฉพาะคือ หนังกลองด้านล่างต้องคาดไว้ด้วยสายสะแนร์เป็นแผง เพื่อให้เกิดเสียงซ่า เดิมสายสะแนร์ทำด้วยเอ็นสัตว์ในปัจจุบันสายสะแนร์มีทั้งที่ทำด้วยไนล่อนและทำด้วยเส้นลวดโลหะ กลองเล็กมีหลายชื่อ เช่น Snare Drum มีขาตั้งรองรับตัวกลองใช้เป็นส่วนหนึ่งของกลองชุด หรือนำมาใช้บรรเลงประกอบจังหวะสำหรับวงออร์เคสตร้าหรือวงอื่นๆที่นั่งบรรเลง สำหรับวงโยธวาทิตและแตรวง มีตัวยึดกลองทำด้วยโลหะคล้องยึดไว้กับลำตัวของผู้ตี กลองจะอยู่ด้านหน้าของผู้ตี Side Drum ใช้สำหรับเรียกกลองเล็กที่ผู้ตีต้องใช้สายสะพายคล้องกลองไว้ข้างลำตัว ตะขอที่อยู่ติดกับขอบกลอง ใช้คล้องเกี่ยวกับตัวกลองไว้กับสายสะพาย ขอบกลองดานบนอยู่ในระดับเดียวกับเอวของผู้ตี ตัวกลองอยุ่ในลักษณะเฉียงกับลำตัวของผู้ตี
- กลองทิมปานี (Timpani) เป็นกลองที่มีลักษระเหมือนกระทะหรือกาต้มน้ำ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Kettle Drum ตัวกลองทำด้วยโลหะทองแดง ตั้งอยู่บนขาหยั่ง กลองทิมปานีมีระดับเสียงแน่นอน เทียบเท่ากับเสียงเบส มีกระเดื่องเหยียบเพื่อเปลี่ยนระดับเสียงตามต้องการในการบรรเลงต้องใช้อย่างน้อย 2 ใบ เสียงของกลองแสดงอำนาจ ทำให้ความยิ่งใหญ่ ตื่นเต้นเร้าใจ
- คองกา (Conga) คือชื่อของกลองชนิดหนึ่ง มีรูปทรงต่างๆกันหลายลักษณะ โดยปกติมีความสูงประมาณ 30 นิ้ว
เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 11 นิ้ว ตัวกลองทำด้วยท่อนไม้ นำมาขุดให้ภายในกลวง หรืออาจใช้แผ่นไม้ดัดให้เป็นรูปทรงตัวกลอง คาดด้วยโลหะไว้รอบตัวกลอง แล้วยึดติดด้วยหมุดโลหะ คองกาเป็นกลองหน้าเดียว ขึงด้วยหนังสัตว์ กลองคองกามีหลายขนาดต่างระดับเสียงกับจะใช้ 3 ใบ 4 ใบ หรือ 5 ใบ หรือมากกว่านั้นก็ได้ ปกติใช้อย่างต่ำ 2 ใบ ตีสอดสลับกันตามลีลาจังหวะของบทเพลง ตีด้วยปลายนิ้วและฝ่ามือ - บองโก (Bongo) เป็นกลองคู่ จะต้องมี 2 ใบเสมอ เล็ก 1 ใบ ใหญ่ 1 ใบ ระดับเสียงของกลอง 2 ใบ ตั้งให้ห่างกันในระดับคู่ 4 หรือคู่ 5 โดยประมาณหนังกลองบองโกต้องตั้งให้ตึงกว่ากลองคองกา ตัวกลองติดตั้งอุปกรณ์ ยึดติดให้อยู่คู่กัน ขณะที่ตีกลอง ผู้ตีจะต้องหนีบกลองทั้ง 2 ใบ ให้อยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างหนีบไว้ด้วยหัวเข่า หรือวางไว้บนขาตั้งโลหะก็ได้ กลองบองโกต้องตีด้วยปลายนิ้วมือ และฝ่ามือ เช่นเดียวกับกลองคองโก
- แทมบูริน (Tambourine) เป้นเครื่องตีกระทบ ประกอบขึ้นด้วยขอบกลม เหมือนขอบกลองขนาดเล็กประมาณ 10 นิ้ว ขอบทำด้วยไม้ พลาสติก หรือโลหะ รอบๆขอบติดด้วยแผ่นโลหะประกบกัน 2 แผ่น หรือติดด้ยลูกกระพรวนเป็นระยะ ใช้การตีกระทบกับฝ่ามือหรือสั่นเขย่าให้เกิดเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง เพื่อประกอบจังหวะให้เกิดความสนุกสนาน สดชื่น แทมบูรินบางชนิดจะขึงด้วยหนังเหมือนกลอง 1 ด้านใช้ฝ่ามือตีที่หนัง
- กิ่ง (Triangle) คือ เครื่องตีกระทบ ทำด้วยแท่งโลหะ ตัดให้เป็นรูปสามเหลี่ยม แท่งโลหะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. เพื่อใหเกิดเสียงดังกังวาน ต้องแขนกิ๋งไว้กับเชือกแล้วตีกระทบด้วยแท่งโลหะ กิ๋งมีเสียงกังวาน แจ่มใส มีชีวิตชีวา
- มาราคา (Maraca) คือเครื่องตีกระทบ เดิมทำด้วยผลน้ำเต้าแก่จัด ทำให้แห้ง ภายในบรรจุด้วยเมล็ดน้ำเต้า เม็ดถั่วต่างๆ หรือลูกปัดลูกเล็กๆ ต่อด้ามไว้สำหรับจับถือ เวลาเล่นใช้เขย่าเพื่อให้เกิดเสียงซ่าๆ จะเขย่าด้วยมือทั้ง 2 ข้าง ให้ดังสอดสลับกัน ปัจจุบันทำด้วยไม้
- คาบาซา (Cabasa) คือ เครื่องตีกระทบ เดิมทำด้วยผลน้ำเต้า หรือผลบวบแห้ง ภายนอกรอบๆห่อหุ้มด้วยลูกประคำร้อยเชือก จะมีด้ายมือถือหรือไม่มีก็ได้ เกิดเสียงโดยการหมุน สั่น เขย่า ถู เพื่อให้ลูกประคำเคลื่อนที่เสียดสีกับผิวของผลน้ำเต้า หรือผลบวบ ทำให้เกิดเสยงดังขึ้น เสียงของคาบาซาจะฟังคล้ายกับเสียงของมาราคา ปัจจุบันคบาซาทำด้วยไม้ประกอบโลหะเป็นทรงกระบอก มีด้ามจับมือ ผิวของกระบอกห่อหุ้มด้วยแผ่นโลหะ ทำผิวให้ขรุขระ ลูกประคำนั้นจะทำด้วยโลหะร้อยติดกันล้อมรอบผิวโลหะ
- ระฆังราว (Tubular Bells) ทำด้วยท่อโลหะ แขวนเรียงตามลำดับเสียงจากสูงไปต่ำ แขวนกับโครงโลหะในแนวดิ่ง ใช้ไม้ตีที่ปลายท่อด้านหัวจะเกิดเป็นเสียงเหมือนระฆัง
- เคาเบลล์ (Cowbell) คือ เครื่องดนตรีประเภทตีกระทบ พัฒนามาจากกระดิ่งผูกคอวัว นำมาทั้งรูปร่าง และชื่อ แต่รูปทรงจะคล้ายกับระฆังมากกว่ากระดิ่ง ตีด้วยไม้กลอง เคาเบลล์จะใช้มากในดนตรีละนอเมริกา และดนตรีประกอบการเต้นลีลาศ เคาเบลล์ยังใช้เป็นอุปกรณ์ส่วนหนึ่งของกลองชุดอีกด้วย โดยเฉพาะกลองชุดสำหรับดนตรีร็อค
- กลองชุด (Drum set) คือกลองที่ประกอบด้วยกลองใหญ่ กลองสะแนร์ ฉาบ 1 หรือ 2 ฝา กลองทอม 2 หรือ 3 ลูกไฮแฮท (ฉาบ 2 ฝาประกบติดกัน กระทบกันด้วยขาเหยียบ) พร้อมทั้งเพิ่มเครื่องกระทบจังหวะอื่นๆ ประกอบเข้าด้วยกันเป็นพิเศษอีกด้วย เช่น เคาเบลล์ เป็นต้น
- ฉาบ (Cymbal) คือ เครื่องกระทบ มีหลายลักษณะ บางชนิดใช้ตีคู่ให้เกิดเสียง ผู้ตีต้องสอดมือเข้าไปที่หูร้อยฉาบซึ่งทำสายหนัง แบฝ่ามือให้ประกบแนบกับฝาฉาบตรงส่วนนูนกลางฉาบ แล้วตีกระทบฝาฉาบด้วยมือทั้งสองข้าง ฉาบบางชนิดจะใช้เพียงข้างเดียวตีด้วยไม้ตีฉาบ ประเภทนี้ต้องติดตั้งบนขาตั้ง เช่น ฉาบที่ใช้สำหรับกลองชุด เป็นต้น ฉาบมีหลายขนาด เส้นผ่านศูนย์กลางมากจะทำให้เกิดเสียงดังและความก้องกังวานมากขึ้น
- มาริมบา (Marimba) คือ เครื่องตีกระทบ ที่มีระดับเสียงแน่นอน ลักษณะทั่วๆไป จะเหมือนกับไซโลโฟน หรือไวบราโฟน เป็นระนาดไม้ขนาดใหญ่ของดนตรีตะวันตก ลูกระนาดทำด้วยไม้พิเศษที่มีชื่อว่า “Rosewood” ใต้ลูกระนาดมีท่อโลหะติดอยู่เพื่อเป็นตัวขยายเสียงเพิ่มความกังวาน
- ไซโลโฟน (Xylophone) คือ เครื่องตีกระทบที่มีระดับเสียงแน่นอน เป็นระนาดไม้ขนาดเล็กของดนตรีตะวันตก
ลักษณะทั่วไปจะคล้ายกับมาริมบาหรือไวบราโฟน แต่มีขนาดเล็กกว่า ลูกระนาดทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ใต้ลูกระนาดมีท่อโลหะติดอยู่ เพื่อเป็นตัวขยายเสียง - ไวบราโฟน (Vibraphone) คือ เครื่องตีกระทบที่มีระดับเสียงแน่นอน เป็นระนาดโลหะของดนตรีตะวันตก ลักษณะทั่วไปคล้ายกับมาริมบา หรือไซโลโฟน เป็นระนาดขนาดใหญ่ลูกระนาดทำด้วยโลหะ ใต้ลูกระนาดมีท่อโลหะเพื่อเป็นตัวขยายเสียง มีแกนบพัดเล็กๆประจำอยู่แต่ละท่อใช้ระบบมอเตอร์หมุนใบพัด ทำให้เกิดเสียงสั่นรัวได้
5. เครื่องลิ่มนิ้ว (Keyboard Instrument)
มักนิยมเรียกทับศัพท์ในภาษาอังกฤษว่า “เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ด” ลักษณะเด่นคือ มีลิ่มนิ้วสำหรับกด เพื่อเปลี่ยนระดับเสียงดนตรี ลิ่มนิ้วสำหรับกดนั้นนิยมเรียกว่า”คีย์” (key) เกิดเสียงโดยการกดคีย์ที่ต้องการ แล้วคีย์นั้นจะส่งแรงไปที่กลไกต่างๆภายในเครื่อง เพื่อที่จะทำให้สายโลหะที่ขึงตงสั่นสะเทือน บางชนิดให้ลมผ่านไปยังลิ้นโลหะให้สั่นสะเทือนทำให้เกิดเสียง ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้ว เช่น ออร์แกนลม แอ็คคอร์เดียน สำหรับเมโลเดียน และเมโลดิกา ที่นำมาใช้เป็นอุปกรณ์กาสอนดนตรี ก็จัดอยู่ในเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดเช่นกัน
ในปัจจุบันเครื่องดนตรีที่เกิดเสียงโดยใช้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับความนิยมมาก เพราะสามารถเลียนแบบเสียงเรื่องดนตรีต่างๆได้หลายชนิด เครื่องสตริง (String Machine) คือเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ด ที่เลียนเสียงเครื่องดนตรีตระกูลไวโอลินทุกชนิด อิเล็กโทน คือ เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่มีจังหวะในตัว สามารถบรรเลงเพลงต่างๆได้ด้วยนักดนตรีเพียงคนเดียว
ในยุคของคอมพิวเตดร์ เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดได้วิวัฒนการไปมาก เสียงต่างๆมากขึ้น นอกจากเสียงดนตรีแล้วยังมีเสียงเอฟเฟ็คต์ (Effect) ต่างๆให้เลือกใช้มาก
เสียงต่างๆเหล่านี้เป็นเสียงที่สังเคราะห์ขึ้นมาด้วยระบบ อิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นเรื่องดนตรีประเภทนี้จึงถูกเรียกว่า “ซินธีไซเซอร์” (Synthesizer)
- เปียโน (Piano) เกิดเสียงโดยการกดคีย์ที่ต้องการ แล้วคียืนั้นจะส่งแรงไปที่กลไกต่างๆภายในเครื่อง เพื่อที่จะทำให้สายโลหะที่ขึงตึงสั่นสะเทือน ทำให้เกิดเสียงดังขึ้น สายจะถูกตีด้วยค้อน ซึ่งเชื่อมโยงไปยังคีย์ที่กด โดยผ่านเครื่องกลไกซับซ้อน ที่เรียกว่า “แอ็คชั่น” แต่เดิมเปียโนมีชื่อว่า เปียโนฟอร์เต (Pianoforte) ทั้งนี้เพราะ เปียโนสมารถบรรเลงด้วยเสียงเบา (piano) และเสียงดัง (forte) ได้อย่างเด่นชัด
- ออร์แกน (Organ) เป็นเครื่องดนตรีคีย์บอร์ดประเภทใช้ลมมีลมเป่าผ่านท่อทำให้เกิดเสียงท่อละหนึ่งเสียง มีแผงคีย์ที่กดเล่นด้วยมือเรียกว่า แมนนวล (Mannual) และแผงคีย์ที่เหยียบด้วยเท้า เรียกว่า เพดดัล (Pedal) การบังคับกลุ่มท่อต่างๆซึ่งจัดไว้เป็นพวกเดียวกันทำได้โดยการใช้ปุ่มกด หรือดันยกขึ้นลง ที่เรียกว่า สต็อป ออร์แกนขนาดใหญ่จะมีกลุ่มท่อเปลี่ยนเสียงที่เรียกว่า รีจีสเตอร์ เป็นจำนวนมาก เพื่อใช้สร้างสีสันแห่งเสียงได้หลากหลายออร์แกนสมัยใหม่ใช้ไฟฟ้าบังคับแกนลม ซึ่งตามแบบดั้งเดิมนั้นลมที่ใช้ก็เกิดจากการอัดลมด้วยเท้าของผู้เล่น หรือไม่ก็มีผู้ช่วยอัดลมแทนให้
- ฮาร์ปซิคอร์ด (Harpsichord) เกิดก่อนเปียโน สายภายในเครื่องดนตรีจะถูกเกี่ยวด้วยไม้ดีด (Quills) ขณะที่เรากดคีย์ลงไป (ตรงข้ามกับเปียโนใช้ค้อนเคาะ) ไม่อาจทำให้เสียงที่ดังหรือเบาตามลำดับได้ มักจะมีคีย์บอร์ดสองแผง แนวหนึ่งจะทำให้เสียงดัง อีกแนวหนึ่งจะทำให้เสียงเบา ปุ่มหรือเสียงพ่วงใช้สายเชื่อมสายเสียงแต่ละชุดทำให้เกิดเสียงหลายอ็อกเทฟ จากการกดคีย์เดียวเท่านั้น ฮาร์ปซิคอร์ดได้รับความนิยมมากช่วงศตวรรตที่ 16-18
- คลาวิคอร์ด (Clavichord) เป็นเครื่องดนตรีคียืบอร์ดในยุคแรกๆประเภทเกิดเสียงได้จากการดีด (เคาะ) โดยมีสายเสียงที่ขึงไปตามรูปของกล่องไม้ ส่วนปลายสุดของคีย์จะมีกลไก สำหรับทำหน้าที่งัด หรือเคาะลิ่มทองเหลืองเล็กๆ ในขณะผู้เล่นกดคีย์ลงไป ลิ่มทองเหลืองนี้จะยกขึ้น และตีไปที่สายเสียง เพื่อทำให้เกิดเสียงคลาวิคอร์ด เป็นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดประเภทแรก ที่สามารถเล่นได้ทั้งเสียงเบาและเสียงดัง โดยการเพิ่มลดน้ำหนักการกดคีย์ เสียงที่ได้จากคลาวิคอร์ดมีความไพเราะและนุ่มนวล