การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุ์กรรม
สร้างโดย : นายสมบูรณ์ กมลาสนางกูร
สร้างเมื่อ อังคาร, 09/12/2008 – 21:47
มีผู้อ่าน 540,055 ครั้ง (24/10/2022)
ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/18800
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุ์กรรม
ลักษณะทางพันธุกรรม คือ ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังอักรุ่นหนึ่งได้ โดยทางยีน ซึ่งเป็นหน่วยพันธุกรรมซึ่งควบคุการถ่ายทอดลักษณะต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต ยีนจะอยู่บนโครโมโซมและโคโมโซมจะอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์
ลักษณะทางพันธุกรรม จำแนกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
- ลักษณะทางพันธุกรรมที่มีความแปรผันต่อเนื่อง (continuous variation) เป็นลักษณะทางพันธุกรรม ที่ไม่สามารถแยกความแตกต่างได้อย่างชัดเจน เช่น สีผิว ความสูง น้ำหนัก ไอคิวของคน
ลักษณะเหล่านี้ถูกควบคุมด้วยยีนหลายคู่ ยีนจึงมีอิทธิพลต่อการควบคุมลักษณะดังกล่าวน้อย แต่สิ่งแวดล้อมจะมีอิทธิพลมาก - ลักษณะทางพันธุกรรมที่มีความแปรผันไม่ต่อเนื่อง (discontinuous variation)เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่มีความแตกต่างกันอย่งชัดเจน เช่น ความสามารถในการห่อลิ้น จำนวนชั้นของตา การถนัดมือขวาหรือมือซ้าย
ลักษณะเหล่านี้ถูกควบคุมด้วยยีนน้อยคู่ ยีนจึงมีอิทธิพลต่อการควบคุมลักษณะดังกล่าวมาก แต่สิ่งแวดล้อมจะมีอิทธิพลน้อย
การศึกษาแบบแผนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุ์กรรมของพืชและสัตว์บางชนิดโดยทั่วไปจะศึกษาได้จากการทดลองลักษณะทางพันธุ์กรรมในพืชได้แก่ ความสูง ลักษณะรูปร่างของใบรูปร่างของดอก ขนาดของผล สี ขนาดของลำต้น ความหวาน เป็นต้น
ฟีโนไทป์ (phenotype) คือ ลักษณะที่ปรากฏให้เห็นภายนอกซึ่งเป็นผลมาจากยีน เช่น ต้น สูง ต้นเตี้ย เมล็ดกลม เมล็ดขรุขระ เป็นต้น
จีโนไทป์ (genotype) คือ ลักษณะของยีนที่อยู่ภายในจะอยู่กันเป็นคู่ ๆ นิยมใช้สัญลักษณ์เป็นอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมใหญ่แทนยีนที่ควบคุมลักษณะเด่น และใช้อักษรตัวพิมเล็กแทนยีนที่ควบคุมลักษณะด้อย เช่น TT, Tt , tt เป็นต้น แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
- พันธุ์แท้ (homozygous) คือ ลักษณะของจีโนไทร์ที่มียีนทั้งคู่เหมือนกันซึ่งอาจเป็นยีนที่มีลักษณะเด่นทั้งคู่ เช่น TT, RR หรือแสดงลักษณะด้อย เช่น tt , rr เป็นต้น
- พันธุ์ทาง (heterozygous) คือ ลักษณะของจีโนไทร์ ที่มียีนทั้งคู่แตกต่างกัน โดยมียีนแสดงลักษณะเด่น 1 ยีนแสดงลักษณะด้อย 1 ยีน เช่น Tt , Rr เป็นต้น
สูตรในการหาจำนวนจีโนไทปและฟีโนไทป์
ชนิดของเซลล์สืบพันธุ์ = 2n
จีโนไทป์ของลูกที่เกิดมา = 3n
ฟีโนไทป์ของลูกที่เกิดมา = 2n
โดยที่ n คือ จำนวนคู่ของเฮเทอโรไซกัสยีน
เมนเดล – บิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์
เกรเกอร์ เมนเดน เป็นบาทหลวงชาวออสเตรียและเป็นนักคณิตศาสตร์ เมนเดนชี้ห้เห็นว่าลักษณะที่ปรากฏในลูกเป็นผลที่มาจากการถ่ายทอดหน่วยที่ควบคุมลักษณะต่างๆ ที่ได้จากพ่อและแม่โดยผ่านทางเซลล์สืบพันธุ์
ลักษณะเด่นและลักษณะด้อย
เมนเดนทำจากการทดลองผสมต้นถั่วลักษณะต่าง ๆ เพราะเป็นพืชที่หาง่าย ปลูกง่าย ขยายพันธุ์ง่ายอายุสั้น มีดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ เมื่อมีการผสมภายในดอกเดียวกันทำให้เดิดพันธุ์แท้นอกจากนั้นยังผสมข้ามดอกหรือข้ามต้นได้ จากการทดลอง เมนเดมได้พบลักษณะเด่นและลักษณะด้อยของต้นถั่วที่แสดงออกมาให้เห็น
ลักษณะเด่น (dominant) หมายถึง ลักษณะที่ปรากฏในทุกรุ่น หรือลักษณะที่แสดงออกได้มากในรุ่นลูกหรือรุ่นหลาน ตัวอย่างลักษณะเด่นของถั่วได้แก่ เมล็ดกลม เนื้อเม็ดสีเหลือง เปลือกหุ้มเมล็ดมีสี ฝักอวบ ฝักมีสีเขียว ต้นสูง และตำแหน่งดอกที่ลำต้น
ลักษณะด้อย (recessive) หมายถึง ลักษณะที่ไม่ค่อยจะปรากฎให้เห็นหรือแสดงออกได้น้อย เพราะลักาษณะเด่นข่มเอาไว้ ตัวอย่างลักษณะด้อยขงถั่วได้แก่ เมล็ดขรุจขะ เนื้อเมล็ดสีเขียว เปลือกหุ้มเมล็ดสีขาว ฝักแฟบ ฝักสีเหลือง และตำแหน่งเกิดที่ยอด
ข้อควรจำ
กฎของเมนเดนมีดังนี้
- กฎแห่งการแยกลักษณะ กล่าวว่า ลักษณะต่างๆอยู่เป็นคู่ๆ ขณะการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ยีนทั้งคู่จะแยกตัวออกจากกันในเซลล์สืบพันธุ์
- กฎแห่งการเลือกกลุ่มอย่างอิสระ กล่าวว่า ลักษณะที่ถ่ายทอดไปต่างก็เป็นอิสระ ไม่เกี่ยวข้องกับลักษณะอื่น
- กฎแห่งลักษณะเด่น กล่าวว่า ลักษณะจะข่มลักษณะด้อยเมื่อยีนเด่นอยู่คู่กับยีนด้อย ลักษณะที่แสดงออกมาเป็นลักษณะของยีนเด่นเท่านั้น
ข้อควรจำ
การที่จะบอกได้ว่าถั่วต้นที่มีลักษณะเด่นนั้นเป็นพันธุ์แท้หรือพันทาง ทำได้ 2 แนวทาง คือ
- นำต้นถั่วนั้นผสมกันเองถ้าเป็นพันธุ์แท้ ลูกที่ได้จะเป็นพันธุ์ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นพันทางรุ่นลูกที่ได้จะมี 2 ลักษณะ คือ สูง (ซึ่งมีทั้งพันธุ์สูงแท้และพันสูงทาง) และเตี้ย = 3: 1
- นำต้นถั่วที่สงสัยว่าเป็นต้นที่มีลักษณะเด่นพันธุ์แท้หรือพันทางนั้นมาผสมกับต้นที่มีลักษณะด้อย ถ้าเป็นพันทาง รุ่นลูกจะได้ลักษณะพันทางกับลักษณะด้อยเท่าๆ กัน
วิธีในการที่ใช้การศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุ์กรรม โดยทั่วไปสามารถศึกษาได้จากการทดลอง ที่นิยมนำมาศึกษา ได้แก่ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของต้นถั่ว และแมลงหวี่แต่การศึกษาลักษณะทางพันธุกรรมในมนุษย์ไม่สามารถทำการทดลองได้เนื่องจาก
- ไม่สามารถควบคุมคู่แต่งงานให้เป็นไปตามลักษณะที่ต้องการจะศึกษาได้
- จำนวนบุตรที่เกิดขึ้นมีน้อยและไม่แน่นอน ยากแก่การศึกษา
- มีอายุไขที่ยาวนาน ยากที่จะสังเกตการถ่ายทอดลักษณะในหลาย ๆ ชั่วคน
ดังนั้นในการศึกษาลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมของมนุษย์ทำได้หลายวิธีได้แก่
- ศึกษาจากการสืบประวัติของครอบครัวที่มีลักษณะตามที่เราต้องการศึกษา
- ศึกษาจากประวัติคนไข้ที่มีลักษณะผิดปกติหรือเป็นโรคที่ถ่ายทอดในครอบครัว
- ศึกษาลักษณะต่าง ๆ ในคู่แฝด
- ศึกษาจากสัตว์ที่ทดลองเพื่อนำมาเปรียบเทียบลักษณะที่ศึกษากับมนุษย์
- ศึกษาจากการใช้แผนภาพแสดงการสืบสายพันธุ์หรือแผนภาพแสดงลำดับเครือญาติที่เรียกว่า “ เพดดีกรี (pedigree) หรือ พงศาวดี” ซึ่งนิยมนำมาใช้ศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุ์กรรมของมนุษย์
สรุปงานของเมนเดล
- การถ่ยทอดลักษณะต่างๆของสิ่งมีชีวิตต้องมีหน่วยคุมลักษณะ ที่เรียกว่า ยีน โดยยีนจะอยู่กันเป็นคู่
- ยีนแต่ละคู่อาจเหมือนกัน เช่น TT , tt เรียกว่า โฮโมไซกัสยีน (homozygous gene) หรืออาจต่างกัน เช่น Tt เรียกว่า เฮเทอโรไซกัสยีน (heterozygous gene)
- คู่ของยีนที่ต่างกันจะแสดงออกเพียงยีนเดียว ยีนที่แสดงออกเรียกว่า ยีนเด่นหรือยีนข่ม (dominant gene) ขณะที่ยีนที่ไม่แสดงออกเรียกว่า ยีนด้อย (recessive gene)
- เมื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ยีนที่อยู่เป็นคู่แอลลีนกัน ย่อมแยกจากกันไปยังเซลล์สืบพันธุ์แต่ละยีน ดังนั้นเซลล์สืบพันธุ์หนึ่งๆ จะได้ยีนเป็นครึ่งหนึ่งของเซลลืที่แบ่ง เรียกว่า กฎกรแยกตัวของยีน (Law of Segregation)
- การแยกตัวของยีนแต่ละคู่ไปสู่เซลล์สืบพันธุ์นั้นเป็นอิสระจากคู่อื่นๆ เรียกว่า กฎกรเลือกกลุ่มอย่างอิสระ (Law fo Independent Assortment) เช่น AaBb เมือสร้างเซลล์สืบพันธุ์ A ย่อยแยกจาก a และ B แยกจาก b ตามข้อ 4. จากนั้น A ก็มีอิสระไปจับกับ B หรือ b เท่าๆกับ a ก็มีอิสระไปจับกับ B หรือ b ดังนั้นเซลล์สืบพันธุ์จึงได้แบบของยีน 4 แบบ คือ AB Ab aB ab
- เซลล์สืบพันธ์ตัวผู้จะปฏิสนธิกับเชลล์สืบพันธุ์ตัวเมียโดนการสุ่ม (random)
การผสมแบบต่างๆในทางพันธุ์ศาสตร์
- การผสมในรุ่นเดียวกัน (selfing) เช่น นำรุ่นลูกมาผสมกันเอง(F1 ผสมกับ F1) ได้รุ่นหลาน F2
- การผสมย้อนกลับ (back cross) หมายถึง F1 ผสมย้อนไปหารุ่น พ่อ หรือ แม่ก็ได้
- การผสมเพื่อตรวจสอบจีโนไทป์ (test cross) หมายถึง การนำลักษณะที่สงสัยว่าเป็นพันธุ์แท้หรือพันธุ์ทางไปผสมกับลักษณะด้อย ซึ่งเป็น โฮโมไซกัสลักษณะด้อย แล้วดูว่า ถ้าลูกออกมาเป็นลักษณะเด่นอย่างเดียว
- แสดงว่าลักษณะที่สงสัยเป็นพันธุ์เแท้ แต่ถ้าลูกที่ออกมามีทั้งลักษณะเด่นและลักษณะด้อย แสดงว่าลักษณะที่สงสัยเป็นพันธุ์ทาง
ระดับการข่มกันของยีนแบบต่างๆ
- การข่มกันแบบสมบูรณ์ (complete dominance) หมายถึง การข่มกันของอัลลีนลักษณะด้อยเป็นไปอย่งสมบูรณ์ จนทำให้โฮโมไซกัส ลักษณะเด่น กับ เฮเทอโรไซกัส แสดงลักษณะออกมาเหมือนกัน เช่น
TT แสดงลักษณะสูงเช่นเดียวกับ Tt - การข่นแบบไม่สมบูรณ์ (incomplete dominance หรือ partial dominance) หมายถึง การข่มของอัลลีนหนึ่งต่ออัลลีนหนึ่งเป็นไปได้แต่ไม่เต็นที่ ทำให้เฮเทอโรไซกัสแสดงลักษณะค่อนไปทางโฮโมไซกัสลักษณะเด่น
ดังนั้น อัตราส่วนของจีโนไทป์ = อัตราส่วนของฟีโนไทป์ เช่น กรณีของดอกบานเย็น ถ้านำดอกบานเย็นสีแดงมาผสมกับดอกสีขาวจะได้ดอกไม้สี แดง ชมพู ขาว ในอัตราส่น 1 : 2 : 1 - การข่มแบบร่วมกัน (co – dominance) หมายถึงการที่อัลลีนแต่ละตัวแสดงฟีโนไทป์ของมันออกมาร่วมกันในสภาพของเฮเทอโรไซกัสยีน เช่น ในกรณีกลุ่มเลือด A , B .O โดยอัลลีน IA กับอัลลีน IB ต่างเป็นอัลลีนที่มีการข่มร่วมกัน ส่วนอัลลีน i เป็นอัลลีนลักษณะด้อย
- การข่มแบบที่เหนือกว่า (over – dominance) หมายถึงการที่อัลลีนในสภาพเฮเทอโรไซกัสแสดงฟีโนไทปออกมาเหนือกว่าฟีโนไทป์ของโฮโมไซกัส
มัลติเปิลอัลลีล
มัลติเปิลอัลลีน หมายถึง ยีนที่ประกอบด้วยอัลลีนมากว่า 2 ชนิด ขึ้นไป ในการควบคุมลักษณะใดลักษณะหนึ่งของสิ่งมีชีวิต เช่น อัลลีนที่ควบคุมกลุ่มเลือด A B O ประกอบด้วยอัลลีย 3 ชนิด คือ IA IB i
อย่างไรก็ตามอัลลีนเหล่านี้จะมีอยู่เพียง 2 อัลลีนเท่านั้น บนโฮโมโลกัสโครโมโซม
โพลียีน หรือ มัลติเปิลยีน
โพลียีน หมายถึง กลุ่มยีนที่มีมากกว่า 1 คู่ขึ้นไป ในการควบคุมลักษณะใดลักษณะหนึ่งของสิ่งมีชีวิต กลุ่มเหล่านี้อาจอยู่บนโครโมโซมแท่งเดียวกัน หรือคนละแท่งก็ได้ เช่น ความสูงของคน ลักษณะสีผิวของร่างกาย น้ำหนักของร่างกาย ไอคิวของคน ปริมาณน้ำนมของวัวนม
ความแตกต่างระหว่างมัลติเปิลอัลลีนกับโพลียีน
- มัลติเปิลอัลลีนมียีนเพีนง 1 คู่ ในการควบคุมลักษณะใดลักษณะหนึ่ง โพลียีนมียีนมากกว่า 1 คู่ ในการควบคุมลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
- มัลติเปิลอัลลีนควบคุมลักษณะแปรผันแบบไม่ต่อเนื่อย โพลียีนควบคุมลักษณะแปรผันแบบต่อเนื่อง