สร้างเมื่อ ศุกร์, 28/09/2551 – 11:45

เป้าหมายของเราคือการหยุดนักฆ่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก
(OUR GOAL IS TO STOP THE WORLD’S BIGGEST KILLER)

          วันหัวใจโลกมีต้นกำเนิดมาจากสมาพันธ์นานาชาติ ซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของการเกิดโรคหัวใจ ที่เป็นปัญหาในการทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตโดย International Society of Cardiology ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี1946 และ International Cardiology Federation ในปี 1970 ต่อมาในปี 1978 ทั้ง 2 สมาพันธ์ได้รวมตัวกันเป็น International Society and Federation of Cardiology (ISFC). และเปลี่ยนชื่อเป็น World Heart Federation ในปี 1998
          วันหัวใจโลก (World Heart Day) ตรงกับวันที่ 29 กันยายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่จัดขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของโรคหัวใจ เนื่องจากสถานการณ์ของโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเสียชีวิตในอับดับต้นๆ ของคนไทยและคนทั่วโลก โดยเฉพาะในคนไทยเป็นผลจากวิถีการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ที่มีปัจจัยเสี่ยงมากมาย ทั้งการรับประทานที่มากเกินพอดี มีกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง ใช้เครื่องอำนวยความสะดวกมากขึ้น ไม่ได้ออกกำลังกาย ประกอบกับการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อีกทั้งยังละเลยการตรวจสุขภาพ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวส่งเสริมให้เกิดภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน และส่งผลให้คนเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดกันมากขึ้น
          โรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก เมื่อรวมกันแล้ว ภาวะต่างๆ ที่ส่งผลต่อหัวใจหรือหลอดเลือด เช่น หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะหัวใจล้มเหลว คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 20.5 ล้านคนต่อปี การเสียชีวิตเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง
          เราต้องการดึงตัวเลขนี้ลง-ลดลง และยังมีความหวัง: 80% ของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจาก CVD สามารถป้องกันได้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเล็กๆ น้อยๆ ของเรา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เรากินและดื่ม ปริมาณการออกกำลังกาย และวิธีการจัดการกับความเครียด เราก็จะสามารถจัดการสุขภาพหัวใจและเอาชนะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ดีขึ้น
          ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่มีความสัมพันธ์กับการเกิด โรคหัวใจ และหลอดเลือดหัวใจ คือ อายุ เพศ ประวัติครอบครัว ระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมันในเลือด ภาวะอ้วน โดยโรคนี้มักเป็นโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง ความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อผู้ป่วยมีความเครียดหรือไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาล

โรคหัวใจ โดยทั่วไปจำแนกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

  1. กลุ่มที่มีความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว
  2. กลุ่ม โรคหัวใจ และหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน
  3. กลุ่มที่มีการนำไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ เช่น โรคหัวใจเต้นพลิ้ว เป็นต้น

อาการที่เสี่ยงเป็น โรคหัวใจ

  • อาการเจ็บหน้าอก ลักษณะอาการเจ็บหน้าอกที่ชวนสงสัยว่าอาจเกิดจากโรคหัวใจขาดเลือด ได้แก่ เจ็บแน่นคล้ายถูกของหนักทับ มักเป็นบริเวณกลางอก ไม่สามารถระบุจุดที่ปวดมากที่สุดชัดเจนได้ อาจมีร้าวไปที่ไหล่ สะบัก ขากรรไกร แขนซ้ายด้านใน หรือแขนทั้งสองข้างได้
  • อาการเหนื่อย ใจสั่น ผู้ป่วยจะหายใจเร็วและตื้น ทำกิจกรรมได้อย่างจำกัด
  • อาการเขียว เกิดจากออกซิเจนในเม็ดเลือดแดงลดลง อาจมีภาวะเขียวให้เห็นได้ทั้งที่ริมฝีปาก ใบหน้า หรือ ปลายมือปลายเท้า
  • อาการวูบ หน้ามืด หรือหมดสติ

“เรามาฟิตหัวใจกันเถอะ”

  1. คิดสักนิดก่อนรับประทาน เพราะโภชนาการมีส่วนสำคัญทั้งด้านบำรุงและเสริมสร้างสุขภาพ ลดเค็ม หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง และไขมันชนิดอิ่มตัวสูง งดสูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเพิ่มอาหารที่มีกากใยเป็นประจำ เช่น ข้าวกล้อง ผลไม้บางชนิด
  2. รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับมาตรฐาน ไม่อ้วนและไม่ผอมจนเกินไป
  3. การออกกำลังกายเพื่อเผาพลาญพลังงานส่วนเกิน มีเป้าหมายเพื่อสร้างความฟิต ให้กับร่างกาย โดยไม่หักโหมจนเกินไป เพื่อบริหารกล้ามเนื้อหัวใจให้มีการสูบฉีดสม่ำเสมอ
  4. ฝึกมองโลกในแง่ดี ไม่เครียด เพราะคนเราเมื่อเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลิน และนอร์อะดรีนาลิน ซึ่งส่งผลให้หลอดเลือดหดตัว หัวใจต้องทำงานหนัก ในการส่งเลือดไปเลี้ยงร่างกายให้ได้ เมื่อเกิดความเครียดต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับมันอย่างถูกวิธี เป็นการคิดบวกเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิต
  5. ฝึกเป็นผู้ให้ โดยการหากิจกรรมจิตอาสา ที่ทำแล้วมีความสุขไม่เดือดร้อนผู้อื่น
  6. ฝึกระงับอารมณ์ ด้วยการไปไหว้พระทำบุญ นั่งสมาธิ หรือระงับความโกรธ
  7. อย่าละเลยที่จะตรวจเช็คสุขภาพ อย่างน้อยควรได้รับการตรวจเช็คว่าระดับไขมันโคเลสเตอรอล และไขมันไตรกลีเซอรอลในเลือดสูงเกินไปหรือไม่ เป็นการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ และอัมพาตได้ หากพบว่ามีสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติของหัวใจเกิดขึ้น เช่น หายใจไม่สะดวก เจ็บร้าวไปที่คอ กราม ลิ้นปี่ เหงื่อออกมาก เหนื่อยง่าย ใจสั่น ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว