การโคลนนิ่ง
สร้างโดย : นางศรีไพร พนมศรี
สร้างเมื่อ เสาร์, 15/11/2008 – 09:22
การโคลนนิ่ง
ประวัติการโคลนนิ่ง
โคลนนิ่ง เป็นกระบวนการทำให้สัตว์ตัวใหม่ขึ้นมาโดยไม่ต้องอาศัยการรวมตัวกันของไข่และสเปิร์ม มีวิธีการทำโดยการนำเอาเซลล์ไข่ของสัตว์ที่จะโคลนนิ่งมา นำเอานิวเคลียสของเซลล์ไข่นั้นออกไป แล้วนำนิวเคลียสจากเซลล์ของสัตว์ที่ต้องการเรียกว่า “เซลล์ต้นแบบ” มาถ่ายโอนลงไปในเซลล์ไข่นั้นแทน ทั้งเซลล์ไข่และเซลล์ต้นแบบต้องมาจากสัตว์ชนิดเดียวกัน เซลล์ต้นแบบเป็นเซลล์ที่ได้มาจากสัตว์ที่เราต้องการขยายพันธุ์ให้มากขึ้น เรียกว่า “สัตว์ต้นแบบ” ซึ่งเซลล์ต้นแบบนี้อาจจะมาจากอวัยวะส่วนไหนก็ได้ แต่ในทางปฏิบัติเชื่อกันว่าเซลล์จากอวัยวะแต่ละแห่งจะมีความเหมาะสมสำหรับการทำโคลนนิ่งไม่เท่ากัน
การทำโคลนนิ่งสัตว์นั้นเริ่มต้นโดยนักชีววิทยาชาวอเมริกัน 2 คน คือ R.W. Briggs และ T.J. King แห่งสถาบันวิจัยมะเร็งในฟิลาเดลเฟีย ทดลองทำโคลนนิ่งกบ ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 นักวิทยาศาสตร์ชาวสก๊อตแลนด์ ชื่อ Jane Wilmut “ได้ทำการโคลนนิ่งแกะโดยใช้เซลล์จากเต้านมของแกะที่โตแล้วเป็นเซลล์ต้นแบบ ได้แกะที่มีชื่อว่า “ดอลลี” ซึ่งแกะดอลลีนี้สามารถตั้งท้องและให้กำเนิดลูกได้เช่นเดียวกับสัตว์ทั่วไป
โคลนนิ่งเป็นอีกกรรมวิธีหนึ่งที่ใช้การขยายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตและมีข้อได้เปรียบกว่าการขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ
กล่าวคือ การโคลนนิ่งจะให้ลูกหลานได้คราวละมากๆ และลูกหลานเหล่านั้นจะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันและเหมือนกับตัวต้นแบบ
ส่วนการขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศนั้น ลูกที่ได้จะมีลักษณะทางพันธุกรรมแตกต่างกันไปและมีความแปรผันแบบกลุ่ม เราไม่สามารถกำหนดได้เลยว่าลูกที่ได้จากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศนั้นจะมีลักษณะอย่างไร
จากข้อได้เปรียบนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะพัฒนากรรมวิธีในการทำโคลนนิ่งสำหรับนำมาใช้กับสิ่งมีชีวิตต่างๆ เพื่อประโยชน์ของมนุษย์เอง
ประเทศไทยสามารถทำโคลนนิ่งได้สำเร็จโดยศาสตราจารย์ มณีวรรณ กมลพัฒนะ ผู้อำนวยการโครงการนิวเคลียร์เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมกิจกรรมผสมเทียมโคนม และกระบือปลัก คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ได้เป็นคนแรก
ดยการนำใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์มาผสมเทียมในกระบือ และพัฒนาต่อเนื่องมากว่า20 ปี จนประสบความสำเร็จในการโคลนนิ่งลูกโคตัวแรกของประเทศไทย ชื่อว่า “อิง”
ซึ่งถือว่าเป็นลูกโคโคลนนิ่งตัวแรกของประเทศไทยและเอเซียอาคเนย์ ซึ่งเป็นรายที่ 3 ของเอเซีย และรายที่ 6 ของโลกโดยการทำโคลนนิ่งต่อจาดญี่ป่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมันนี และเกาหลี
ประโยชน์ของการโคลนนิ่ง
- เป็นการสร้างความก้าวหน้าทางการเกษตรและการแพทย์ การเลี้ยงสัตว์ที่ได้จากการโคลนนิ่งจะได้ผลผลิตที่เติบโตพร้อมเพรียงกัน มีน้ำหนักและขนาดเท่าเทียมกัน สามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างสม่ำเสมอ ประหยัดค่าใช้จ่ายและขายได้ราคา เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจการเลี้ยงสัตว์ได้
- การอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ที่หายากหรือใกล้จะสูญพันธุ์ โคลนนิ่งจะช่วยการขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนสัตว์ป่า นก และสัตว์น้ำบางประเภท
โทษของการโคลนนิ่ง
- ขัดต่อวัฒนธรรมของคนปัญญาดี กลุ่มคนปัญญาปานกลาง กลุ่มแรงงาน สังคมเช่นนี้อาจเป็นระเบียบแต่ขาดความเท่าเทียมกัน
- จะไม่มีความหลากหลายของเผ่าพันธุ์ ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของชนิดของสิ่งมีชีวิตได้ง่าย
การโคลนนิ่งคน
อนาคตข้างหน้าของมนุษย์เรา ไม่แน่ว่าอาจมีการโคลนนิ่งมนุษย์ขึ้นมาจริงๆ การโคลนนิ่งมนุษย์นั้นอาจทำได้ทั่วไปอย่างแพร่หลายจนใครๆทุกคนก็ทำได้กันหมดแม้แต่เด็กอนุบาล หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นจริง โลกเราจะเป็นอย่างไรบ้างช่วยกันคิดนะคะ
นี่คือการโคลนนิ่งมนุษย์แบบต่างๆในอนาคตข้างหน้าที่อาจมาถึง
- การโคลนนิ่งตัวเองเพื่อใช้เป็นตัวเปลี่ยนถ่ายอวัยวะสำรองเพื่อความเป็นอมตะของมนุษย์
- การโคลนนิ่งผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ด้านต่างๆ เช่น สลับตัวจริงกับโคลนเพื่อให้โคลนที่เราควบคุมได้เข้าไปทำหน้าที่ในองค์กรแทนเพื่อหวังผลประโยชน์
- การโคลนนิ่งเพื่อสร้างบุคคลสำคัญในอดีตขึ้นมา เช่น ลีโอนาโด ดาวินชี วิลเลียม เช็คสเปียร์ เพื่อให้กลับมามีชีวิตอยู่ในโลกอนาคตอีกครั้ง แต่ถ้าพวกเขาไม่มีความสามารถอย่างในอดีตล่ะ????
- โคลนนิ่งที่บังเอิญโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ มาอยู่กับครอบครัวเราแทนตัวเรา
- หากเราเกิดมาแล้วกลายเป็นโคลนที่กำลังถูกเลี้ยงเพื่อใช้เป็นอะไหล่สำรองล่ะ
- คนหน้าตาเหมือนคุณเป็นสิบๆเกลื่อนไปหมดโลก
- อาจมีการโคลนนิ่งคนขึ้นมาเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงเล่นสนุก
- การฟ้องร้องโคลนของตัวเอง เช่น ไมเคิล แจ็คสันโคลนตัวเองขึ้นมา แล้วโคลนนั่นมาละเมิดทางเพศตัวเอง ก็เลยฟ้องตัวเอง (อันนี้เอามาจากหนังเรื่อง Click)
- การโคลนนิ่งคนอย่างฮิตเลอร์ขึ้นมา โลกจะเป็นไงหนอ หากมีสักร้อยคน
- มันอาจจะดีไปอีกแบบหากมนุษย์กำลังจะสูญพันธุ์แล้วใช้การโคลนนิ่งเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์
นี่เป็นเพียงบางส่วนนะคะ อาจมีมากกว่านี้ก็ได้ แต่หากการโคลนนิ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ผิดศีลธรรมล่ะก็ คุณจะคิดยังไงกันบ้าง และอนาคตจะเป็นอย่างไรหากโลกนี้ระบุไม่ได้ว่าใครคือตัวจริง ใครคือโคลน………
ภาพที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการโคลนนิ่งที่ผิดพลาด
โคลนนิ่งมนุษย์
ความขัดแย้งระหว่างศีลธรรมกับวิทยาการ
หลังเทศกาลปีใหม่ นักฟิสิกส์ชาวสหรัฐ ชื่อนายริชาร์ด ซี้ด ได้ความคิดใหม่ที่ว่าจะตั้งคลินิกรับผลิตเด็กด้วยวิธีการโคลนนิ่ง ด้วยวิธีการเช่นเดียวกับการสร้างแกะดอลลี่ที่เป็นข่าวครึกโครมเมื่อปีก่อน โดยให้เหตุผลว่าเพื่อช่วยให้คู่สมรสที่มีปัญหาเกี่ยวกับการมีบุตร หรือเป็นหมัน สามารถมีบุตรที่เป็นสายโลหิตของตนเองสืบสกุลได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การสร้างมนุษย์คนใหม่ขึ้นมาจากเซลล์หนึ่งในร่างกายของต้นแบบ ที่อาจจะเป็นพ่อหรือแม่นั้นเอง
แนวคิดดังกล่าวมีทั้งคนเห็นด้วยและคัดค้านด้วยเหตุผลสำคัญคือเรื่องเกี่ยวกับศีลธรรมอันดีและความถูกต้องเรื่องของการสืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่สมศักดิ์ศรี ขณะที่ฝ่ายที่เห็นด้วยมองว่าการปลูกเซลล์มนุษย์คนใหม่ขึ้นมาเป็นการช่วยเหลือให้คนที่เป็นหมัน มีโอกาสสมหวังหรือมีบุตรได้นั่นเอง และยังนับได้ว่าเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์อีกก้าวหนึ่ง ที่สมควรพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าฝ่ายที่คัดค้านจะมีเหตุผลหนักแน่นมากกว่าโดยบรรดานักวิทยาศาสตร์ในชิคาโก ประณามนายซี้ดด้วยข้อหาร้ายแรงว่าจะเป็น ผู้ทำให้โลกเสียสมดุล พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรความ พยายามของนายซี้ดลงเสียก่อนที่นายซี้ดจะลงมือทำตามที่ตั้งใจได้สำเร็จอันจะทำให้สังคมมนุษย์อาจเสื่อมทรามลงได้
ทั้งนี้ หลังจากที่นายซี้ดประกาศว่าเขามีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรมขึ้นเพื่อทดลองการโคลนนิ่ง หรือการถ่ายแบบทางพันธุกรรม ที่เคยมีส่วนร่วมในการทดลองสร้าง แกะดอลลี่ มาแล้วเมื่อปี 2539 โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดคลินิกประเภทในชิคาโกขึ้นก่อนสัก 10 – 20สาขา หลังจากนั้นหากทุกอย่างเป็นไปด้วยดีหมายถึงคงว่ามีลูกค้ามากพอ ก็จะขยายกิจการไปตั้งสาขาในต่างประเทศอีก 5 – 6 ประเทศ ซึ่งทันทีที่ข่าวดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ปรากฏว่ามีปฏิกิริยาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและ รุนแรงจากทุกทิศทาง โดยเฉพาะจากทำเนียบขาว
โดยนายไมค์ แม็คเคอร์รี โฆษกทำเนียบขาวออกแถลงการณ์แสดงความคิดเห็นต่อแนวคิดนายซี้ดทันทีทันควันว่า “สมาคมนักวิทยาศาสตร์ ตลอดจนประธานาธิบดีบิล คลินตัน คงได้แสดงให้นายซี้ดเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่า เขาคือบุคคลที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ ไร้ศีลธรรมและไม่ใช่มืออาชีพที่แท้จริง ควรหรือที่จะดันทุรังทำให้สิ่งตนทั่ว ไปไม่เห็นด้วยนี้อีกต่อไป”
นอกจากนี้หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ชาวสก๊อตต์สามารถสร้างแกะดอลลี่ขึ้นมาได้สำเร็จประธานาธิบดีคลินตัน สั่งให้มีการจัดตั้งคณะกรรมชีวศีลธรรม ขึ้นมาดูแลเรื่องนี้และเสนอให้ห้ามการ ศึกษาวิจัยนี้ไว้ก่อนเป็นเวลา 5 ปี เมื่อเดือนกรกฎาคมปีก่อน อันหมายถึงว่ารัฐสภาสหรัฐก็จะต้องเร่งหา มาตรการที่เหมาะสมมาใช้เพื่อรองรับข้อเสนอของผู้นำประเทศ ในเรื่องการทดลองเกี่ยวกับการสร้างสิ่งมีชีวิตจากการโคลนนิ่งอย่างจริงจังมากขึ้น
ขณะเดียวกันดูเหมือนว่ารัฐสภาสหรัฐจะเตรียมไฟเขียวตามข้อเสนอของประธานาธิบดีคลินตัน อย่างไม่มีเงื่อนไขอยู่แล้วเช่นกัน โดยนายคิดก์ อาร์มีย์ ผู้นำเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ในสังคมของคน รุ่นใหม่ที่มีคลินิกโคลนนิ่งมนุษย์ตั้งอยู่ตามข้างถนนเป็นดอกเห็ดอย่างเด็ดขาด
กระบวนการ
โคลนนิ่งพืช
ขอใบไม้ให้ฉันสัก 1 ใบ แล้วจะสร้างป่าผืนกว้างคืนให้ 1 ผืน
ข้อความที่เห็นดังกล่าวมิได้เป็นการพูดเลยเถิดเกินความจริง หากแต่เป็นเรื่องจริงที่เป็นไปแล้ว ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาการด้านการขยายพันธุ์พืชที่เรียกได้ว่า “การโคลนนิ่งพืช” กลางแจ้งโดยที่ไม่ต้องอาศัยหลอดแก้วเหมือนกับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในห้องปฏิบัติการแต่ประการใด ต้นพืชที่ได้มีลักษณะตรงตามพันธุ์เหมือนต้นแม่ไม่ผิดเพี้ยน (เหมือนกับการตอนกิ่ง) แต่ทว่ามีการแตกรากที่รวดเร็วแทบไม่น่าเชื่อ รากงอกเป็นกระจุกภายใน 7 ถึง 14 วันเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับชนิดและสายพันธุ์) แม้แต่ไม้ตอนยากที่ต้องใช้เวลาเพาะชำนานร่วมปีก็สามารถแทงรากให้เห็นได้ไม่เกินภายใน 25 วัน และสามารถนำลงแปลงปลูกได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาบำรุงในโรงเรือนอนุบาลเหมือนดังที่ต้องปฏิบัติกันกับการขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีอื่นๆ ต้นกล้ามีอัตราเลี้ยงรอดเกือบเต็มร้อย เป็นวิธีขยายพันธุ์พืชที่เพิ่มทวีจำนวนได้มากมายในเวลาอันแสนสั้น มีใบมากเท่าไรก็ได้จำนวนต้นมากเท่านั้น ไม่ต้องรอให้ต้นพันธุ์เติบใหญ่แตกกิ่งก้านสาขามากมายจึงจะทำการขยายพันธุ์ได้ จากใบไม้เพียงใบเดียวก็สามารถขยายพันธุ์ปลูกเป็นป่าใหญ่ได้ดังวลีที่กล่าวเอาไว้จริงๆ
เทคโนโลยีการขยายพันธุ์พืชโดยการโคลนนิ่งด้วยวิธีนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ห้องปฏิบัติการตลอดจนเครื่องไม้มือเครื่องมือที่สลับซับซ้อนราคาแพงดังเช่นการโคลนนิ่งด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแต่อย่างใด มีข้อได้เปรียบหลายๆ ด้านหลายๆ ประการดังนี้
เป็นวิธีการง่ายๆที่ไม่ต้องอาศัยความรู้ระดับสูง ไม่ต้องตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์มากมายหลายๆอย่าง ไม่ต้องใช้ความละเอียดพิถีพิถันเข้มงวด ดำเนินการเหมือนกับการปักชำธรรมดาๆ เกษตรกรทั่วไปสามารถดำเนินการเองได้ เพียงแต่อาศัยโรงเรือนเพาะชำพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการให้น้ำ แร่ธาตุอาหาร ความร้อน ความชื้น แสงสว่าง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (ไม่จำเป็น) พร้อมทั้ง สมาร์ต ลีฟ (ใบไม้อัจฉริยะ) ก็สามารถดำเนินการโคลนนิ่งพืชจากใบพืชได้แล้ว
ประโยชน์ที่ได้จากการขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีนี้ก็คือ อาศัยใบไม้แค่ใบเดียวก็สามารถขยายพันธุ์ได้มากมายในเวลาที่รวดเร็ว พืชทั่วๆไปใช้เวลาปักชำแค่ 7 ถึง 14 วันก็งอกรากออกมาให้เห็นเป็นกระจุกแล้ว ส่วนพืชที่เพาะชำงอกรากยากๆใช้เวลานานร่วมปีนั้น ใช้เวลา ไม่เกิน 24 วันก็ให้รากที่แข็งแรงจำนวนมาก
ผลประโยชน์ที่ได้รับคุ้มค่ามากกว่านั้นก็คือ เราสามารถขยายพันธุ์พืชลูกผสม ไฮบริด (F1) หรือ สต๊อกต้นพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ได้ต่อไปเรื่อยๆไม่ขาดสายขาดตอน ไม่จำเป็นต้องทำ แบ๊กครอสอีกให้เสียเวลา ไม่ต้องเสียเงินซื้อเมล็ดพันธุ์ F1 ที่มีราคาสูงๆอีกต่อไป (ซื้อเพียงครั้งเดียวก็มีพันธุ์ให้ปลูกได้ตลอดไป)
แหล่งอ้างอิง : http://learners.in.th/blog/science3/50403