เคมีอินทรีย์เบื้องต้น
สร้างโดย : นางสาวสุพรรณวดี เพชรเรียง
สร้างเมื่อ เสาร์, 01/11/2008 – 12:05
มีผู้อ่าน 249,160 ครั้ง (08/11/2022)
ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/17531
รางวัลชนะเลิศ ประเภทสื่อออนไลน์ (บุคคล)
โครงการประกวดสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ (Digital Learning Contest) ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2551
ชิงถ้วยรางวัลพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เคมีอินทรีย์เบื้องต้น
ยินดีต้อนรับทุกคน เข้าสู่บทเรียนสำเร็จรูป
วิชาเคมี เรื่องเคมีอินทรีย์เบื้องต้น
ในเรื่องนี้ทุกคนจะได้เรียนรู้และเข้าใจ เคมีอินทรีย์ว่าคืออะไร และความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสารประกอบไฮโดรคาร์บอน นอกจากนี้แล้วสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและเข้าใจได้โดยง่ายอีกด้วยค่ะ
พร้อมกันรึยังค่ะ ถ้าพร้อมแล้วเริ่มศึกษาบทเรียนกันได้เลยค่ะ ขอให้สนุกกับการเรียนเคมี นะค่ะ
เคมีอินทรีย์
เคมีอินทรีย์ (organic chemistry) เป็นสาขาหนึ่งของการศึกษาวิชาเคมี ซึ่งมีความสำคัญยิ่งในการดำรงชีวิต เนื่องจากสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราส่วนใหญ่จัดเป็นสารอินทรีย์ เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เครื่องสำอาง เชื้อเพลิง ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งแหล่งที่กำเนิดสารอินทรีย์ส่วนใหญ่เกิดจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช ดังนี้
ในสมัยแรกๆ นักวิทยาศาสตร์แบ่งสารเคมีออกเป็นสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ สารอนินทรีย์เป็นสารประกอบของธาตุต่างๆ ส่วนสารอินทรีย์เป็นสารประกอบที่ได้จากสิ่งมีชีวิต
ต่อมาในปี พ.ศ. 1828 ฟรีดริช เวอเลอร์ สามารถสังเคราะห์ยูเรียได้จากสารอนินทรีย์ ดังสมการ
หลังจากนั้นทำให้คำจำกัดความของสารอินทรีย์เปลี่ยนไป สารอินทรีย์ คือ สารประกอบที่มีธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลัก ยกเว้นสารประกอบคาร์บอนบางชนิด เช่น สารประกอบออกไซด์ คาร์บอเนต ไฮโดรเจนคาร์บอเนต ฯลฯ วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับสารอินทรีย์ เรียกว่า “เคมีอินทรีย์”
สมบัติของสารประกอบอินทรีย์และอนินทรีย์
สารประกอบอินทรีย์มีสมบัติแตกต่างจากสารอนินทรีย์โดยสรุป ดังตารางต่อไปนี้
สารประกอบอินทรีย์ | สารประกอบอนินทรีย์ |
1. ประกอบด้วยธาตุคาร์บอนเป็นธาตุหลัก และธาตุอื่นๆ เช่น H, O, N, S, Cl, Br เป็นต้น | 1. ประกอบด้วยธาตุต่างๆ ในตารางธาตุ |
2. ส่วนใหญ่เป็นสารประกอบโคเวเลนต์ | 2. สารอนินทรีย์มีจำนวนมาก ทั้งสารประกอบไอออนิกและสารประกอบโคเวเลนต์ |
3. จุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่ำ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นสารประกอบโคเวเลนต์ ยกเว้น สารอินทรีย์เป็นประเภทพอลิเมอร์บางชนิดที่มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง | 3. ถ้าเป็นประเภทสารประกอบไอออนิกหรือโคเวเลนต์แบบโครงผลึกร่างตาข่ายจะมีจุดหลอมเหลวสูง ถ้าเป็นสารประกอบโคเวเลนต์ธรรมดา มีจุดหลอมเหลวต่ำ |
4. สารอินทรีย์ที่ติดไฟได้จะได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์หรือเขม่าสีดำ ซึ่งเป็นผลละเอียดของธาตุคาร์บอน | 4. สารอนินทรีย์ติดไฟหรือทำปฏิกิริยากับแก๊สออกซิเจนจะได้ผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นที่ไม่ใช่เขม่าของคาร์บอน |
5. สารอินทรีย์มีทั้งละลายน้ำได้และไม่ละลายน้ำ | 5. สารอนินทรีย์มีทั้งที่ละลายน้ำได้และไม่ละลายน้ำ |
6. สารอินทรีย์มีปรากฏการณ์ไอโซเมอริซึม คือ สูตรโมเลกุลสูตรหนึ่งอาจเป็นสารได้หลายชนิดที่มีโครงสร้างต่างกัน จึงมีจำนวนชนิดมากกว่าสารอนินทรีย์ | 6. สารอนินทรีย์ไม่มีปรากฏการณ์ไอโซเมอริซึม สารต่างชนิดกันสูตรโมเลกุลจะต่างกัน |
อ่านเพิ่มเติม...
พันธะของคาร์บอน
เวเลนซ์อิเล็กตรอนทั้ง 4 ของคาร์บอนสามารถเกิดพันธะโคเวเลนซ์ (covalent bond) ได้ 4 พันธะ ซึ่งอาจจะเป็นพันธะเดี่ยว (single bond) พันธะคู่ (double bond) หรือพันธะสาม (triple bond) ก็ได้ การเกิดพันธะของคาร์บอนสามารถเกิดได้ 3 แบบ ดังนี้
- พันธะเดี่ยว 4 พันธะ
- พันธะคู่ 1 พันธะ + พันธะเดี่ยว 2 พันธะ
- พันธะสาม 1 พันธะ + พันธะเดี่ยว 1 พันธะ
ความยาวพันธะระหว่างคาร์บอน – คาร์บอน เรียงจากน้อยไปมาก ดังนี้
พลังงานพันธะ 900 600 300 kJ/mol
อะตอมอื่นๆ ที่มาร่วมใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนเกิดพันธะโคเวเลนซ์กับคาร์บอนในสารอินทรีย์ ธาตุที่พบมากที่สุด คือ ไฮโดรเจน (H) สำหรับธาตุอื่นๆ นอกจาก H แล้วยังมี ไนโตรเจน (N) , ฟอสฟอรัส (P), ออกซิเจน (O), กำมะถัน (S) และแฮโลเจน (F, Cl, Br, I)
ตัวอย่างพันธะโคเวเลนต์ระหว่างคาร์บอนกับธาตุอื่นๆ ที่พบบ่อยในสารอินทรีย์ ดังนี้
ข้อสังเกตสำหรับธาตุอื่นที่เกิดพันธะโคเวเลนต์กับ C ในสารอินทรีย์จะมีพันธะได้ ดังนี้
ดังนั้นเมื่อเขียนสูตรสารอินทรีย์และมีอะตอมข้างบนนี้เข้ามาเกี่ยวข้องต้องพิจารณาจำนวนพันธะให้ถูกต้อง
สูตรโครงสร้างของสารอินทรีย์
การเขียนสูตรของสารประกอบอินทรีย์
สูตรโมเลกุล เป็นสูตรที่บอกให้ทราบว่าในสารประกอบนั้นประกอบด้วยธาตุใดบ้างอย่างละกี่อะตอม ซึ่งไม่เป็นที่นิยมเขียนสูตรชนิดนี้ เช่น CH4 , C6H14 , C6H6O เป็นต้น
สูตรโครงสร้าง เป็นสูตรที่บอกให้ทราบว่าในโมเลกุลของสารประกอบนั้น ประกอบด้วยธาตุใดบ้างอย่างละกี่อะตอม แต่ละอะตอมยึดเหนี่ยวกันอย่างไร มีหลายแบบ ดังนี้
- สูตรโครงสร้างแบบเส้น (Expanded form)
- สูตรโครงสร้างแบบย่อ (Condensed form)
- สูตรโครงสร้างแบบเส้นและมุม (Bond – line form)
สูตรโครงสร้างแบบเส้น (Expanded form)
เป็นการเขียนสูตรโครงสร้างโดยใช้เส้นขีด (-) แทนอิเล็กตรอน 2 ตัว หรือ 1 คู่ในการเขียนแสดงพันธะโคเวเลนต์ เช่น
สูตรโครงสร้างแบบย่อ (Condensed form)
เป็นสูตรโครงสร้างที่ไม่แสดงเส้นพันธะเดี่ยวระหว่างไฮโดรเจนกับคาร์บอน โดยจะใช้วงเล็บย่อตัวที่เหมือนกันไว้ด้วยกัน เช่น
สูตรโครงสร้างแบบเส้นและมุม (Bond-line form)
เป็นสูตรโครงสร้างที่ไม่แสดงธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจน แต่จะแสดงเส้นพันธะระหว่างคาร์บอนและไฮโดรเจนเท่านั้น
ไอโซเมอริซึม
ไอโซเมอริซึม (Isomerism) และ ไอโซเมอร์ (Isomer)
ไอโซเมอริซึม คือ ปรากฏการณ์ที่สารมีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่สูตรโครงสร้างต่างกัน ทำให้มีสมบัติต่างๆ เช่น จุดเดือด จุดหลอมเหลวแตกต่างกัน
ไอโซเมอร์ คือ สารที่มีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่มีสูตรโครงสร้างต่างกัน
หลักการพิจารณาว่าสารเป็นไอโซเมอร์กันหรือไม่
ขั้นที่ 1 พิจารณาจำนวนธาตุว่าเท่ากันหรือไม่ ถ้าเท่ากันให้นับจำนวนอะตอมของแต่ละชนิดว่าเท่ากันหรือไม่ ถ้าเท่ากันทุกธาตุแสดงว่ามีสูตรโมเลกุลเหมือนกัน ให้พิจารณาขั้นที่ 2 ต่อไป
ขั้นที่ 2 พิจารณาว่ามีโครงสร้างที่ต่างกันหรือไม่ ถ้ามีโครงสร้างต่างกันแสดงว่าเป็นไอโซเมอร์กัน ในการพิจารณาโครงสร้างว่าเหมือนกันหรือต่างกันเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เพราะสูตรโครงสร้างที่นักเรียนเห็นไม่ใช่โครงสร้างที่แท้จริง แต่เป็นสูตรโครงสร้างที่เขียนเพื่อความสะดวก เป็นโครงสร้างเพียง 2 มิติ แต่ความเป็นจริง เป็นโครงสร้าง 3 มิติเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นสูตรโครงสร้างที่เห็นว่าต่างกันจึงอาจเหมือนกันได้ ในการพิจารณาใช้หลัก ดังนี้ “ให้ถือว่าโครงสร้างทั้งหลายเป็นเส้นลวดที่สามารถตัด พลิก หมุนได้ (เฉพาะส่วนที่เกิดพันธะเดี่ยว) แต่ห้ามตัดต่อ พลิก หรือหมุนแล้วทำให้เหมือนกันแสดงว่าเป็นโครงสร้างเดียวกัน”
หลักการเขียนไอโซเมอร์
สารอินทรีย์ที่มีคาร์บอนอะตอมประมาณ 3-4 อะตอมขึ้นไปสามารถเกิดไอโซเมอร์ที่มีโครงสร้างแบบต่างๆ กัน ถ้าคาร์บอนอะตอมมากขึ้นก็จะมีจำนวน ไอโซเมอร์เพิ่มขึ้น แต่จะมีจำนวนเท่าไรไม่มีสูตรที่จะใช้ในการคำนวณที่แน่นอนและจะทราบจำนวนไอโซเมอร์ของสารอินทรีย์ได้ต้องเขียนและพิจารณาเองโดยมีหลักการเขียน ดังนี้
- การเขียนไอโซเมอร์ต้องเริ่มจากไอโซเมอร์ที่มีคาร์บอนต่อกันเป็นสายยาวที่สุดก่อน
- ลดจำนวนคาร์บอนอะตอมทีละอะตอมลงในสายยาวของคาร์บอนที่ต่อกัน โดยนำมาต่อเป็นสาขาที่ตำแหน่งต่าง ๆ
- ต้องระวังพิจารณาว่ารูปร่างโครงสร้างที่เขียนซ้ำหรือไม่ การเขียนก็ให้เขียนเฉพาะคาร์บอนอะตอมก่อนแล้วจึงเติมไฮโดรเจนที่หลัง แล้วเช็คดูว่าสูตรตรงกับที่โจทย์ให้หรือไม่
ชนิดของไอโซเมอร์
Structural Isomer คือ ปรากฏการณ์ที่สารมีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่มีสูตรโครงสร้างต่างกัน
Chain Isomerism
Positional Isomerism
Functional Isomerism
ที่มารูปภาพ จากhttp://faculty.lacitycollege.edu/boanta/LAB102/Organic%20Isomers.htm
StereoIsomerism คือ ปรากฏการณ์ที่สารมีสูตรโมเลกุลเหมือนกัน สูตรโครงสร้างเหมือนกันแต่มีการจัดเรียงตัวของอะตอมหรือหมู่อะตอมในที่ว่าง (space) ต่างกัน
ตัวอย่าง sterioisome แบบ chelating ligands
(ที่มา http://bouman.chem.georgetown.edu/S02/lect33/lect33.htm)
Geometric Isomerism
Optical Isomerism
(ที่มารูปภาพ http://faculty.lacitycollege.edu/boanta/LAB102/Organic%20Isomers.htm)
หมู่ฟังก์ชัน
หมู่ฟังก์ชัน (Functional group = หมู่อะตอมที่แสดงสมบัติเฉพาะ)
หมู่ฟังก์ชัน คือ หมู่อะตอมหรือกลุ่มอะตอมของธาตุที่แสดงสมบัติเฉพาะของสารอินทรีย์ชนิดหนึ่งๆ เช่น CH3OH (เมทานอล) CH3CH2OH (เอทานอล) ซึ่งต้องเป็นสารอินทรีย์พวกแอลกอฮอล์ เพราะสารแต่ละชนิดต่างก็มีหมู่ -OH เป็นองค์ประกอบ แสดงว่าหมู่ -OH เป็นหมู่ฟังก์ชันของแอลกอฮอล์
HCOOH (กรดเมทาโนอิก) และ CH3COOH (กรดเอทาโนอิก) ซึ่งต่างจากกรดอินทรีย์ เพราะสารทั้งสองต่างก็มีหมู่ -COOH เป็นองค์ประกอบ แสดงว่าหมู่ -COOH เป็นหมู่ฟังก์ชันของกรดอินทรีย์
อนึ่งสารอินทรีย์โดยทั่วไปประกอบด้วยองค์ประกอบ 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นอะตอมไฮโดรคาร์บอนหรือหมู่อะตอมอื่นๆ อีกส่วนหนึ่งเป็นหมู่ฟังก์ชัน ซึ่งแสดงสมบัติเฉพาะของสารอินทรีย์นั้น และเป็นส่วนที่มีความว่องไวทางเคมี ดังรูป
ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดกับสารอินทรีย์มักจะเกิดตรงส่วนของหมู่ฟังก์ชัน เช่น
ตารางหมู่ฟังก์ชันบางชนิดและสารประกอบที่มีหมู่ฟังก์ชันเป็นองค์ประกอบ
ประเภทของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
สารประกอบไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon compounds) หมายถึง สารประกอบที่มีเฉพาะคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบเท่านั้น
ประเภทของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
อะลิฟาติกไฮโดรคาร์บอน (Aliphatic hydrocarbon) เป็นสารประกอบที่คาร์บอนในโมเลกุลต่อกันเป็นโซ่เปิด (open chain) ได้แก่ แอลเคน แอลคีน และแอลไคน์
อะลิไซคลิกไฮโดรคาร์บอน (Alicyclic hydrocarbon) เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีโครงสร้างเป็นวงแหวนโดยที่คาร์บอนในวงแหวนเกาะกันด้วยพันธะเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่ แต่อาจจะมีพันธะคู่หรือพันธะสามอยู่บ้าง เช่น
อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Aromatic hydrocarbon) เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีโครงสร้างเป็นวงหกเหลี่ยมเป็นพันธะคู่สลับกับพันธะเดี่ยว โดยสารที่เป็นอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนจะต้องมีโครงสร้างแบบนี้เป็นวงพื้นฐาน โดยตัวที่มีขนาดเล็กที่สุดจะเรียกว่าเบนซีน (Benzene) เช่น
ข้อสรุปเกี่ยวกับสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
เป็นสารประกอบที่มี H,C เป็นองค์ประกอบหลัก สารประกอบที่มี C1 – C4 มีสถานะเป็นแก๊ส C5 – C17 เป็นของเหลว C18 ขึ้นไปเป็นของแข็ง
สารประกอบไฮโดรคาร์บอนแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. Aliphatic Hydrocarbon ได้แก่ พวกโซ่ตรง หรือโซ่กิ่ง เช่น
2. Alicyclic Hydrocarbon ได้แก่ พวกโซ่ปิด เช่น
3. Aromatic Hydrocarbon ได้แก่ พวกโซ่ปิดที่มีพันธะเดี่ยวสลับพันธะคู่ เช่น
เป็นพันธะโคเวเลนต์
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลเป็นแรงลอนดอน พันธะที่เกิดจาก C และ H มีผลต่างของค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีน้อยมาก จึงถือว่าเป็นพันธะไม่มีขั้ว แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนเป็นแรงลอนดอนซึ่งเป็นแรงแวนเดอร์วาลส์ประเภทหนึ่ง ดังนั้นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนไม่มีขั้วจึงไม่ละลายน้ำ
ไม่นำไฟฟ้า
จุดเดือดและจุดหลอมเหลวของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนต่ำ เมื่อเทียบกับสารอื่นๆ ที่มีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกัน แต่จะเพิ่มขึ้นตามมวล หรือเพิ่มตามจำนวนอะตอมที่เพิ่มขึ้น เช่น CH3CH3 มีจุดเดือด จุดหลอมเหลวสูงกว่า CH4
สารประกอบไฮโดรคาร์บอนต่างชนิดที่มีคาร์บอนอะตอมเท่ากัน และคาร์บอนต่อกันเป็นโซ่สายยาวเรียงลำดับจุดเดือดจากสูง —–> ต่ำ ดังนี้
Alkyne > Alkane > Alkene |
ความหนาแน่น สารประกอบไฮโดรคาร์บอนมีความหนาแน่นต่ำ โดยทั่วไปความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ
การเผาไหม้ของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ถ้าเผาไหม้อย่างสมบูรณ์จะได้ CO2 และ H2O แต่ถ้าเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ จะเกิด CO และ H2O
การดุลสมการการเผาไหม้ของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่สมบูรณ์ มีหลักดังนี้
1. ให้เอาเลข 4 หารจำนวน H ผลลัพธ์ที่ได้บวกจำนวน C แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้จากการบวกไปใส่หน้าออกซิเจน จากนั้นตรวจสอบ C และ H ให้เท่ากัน
2. ถ้าใช้เลข 4 หารไม่ลงตัว ให้เอาเลข 2 คูณหน้าสารประกอบไฮโดรคาร์บอนก่อน
C3H4 + 4O2 ———-> 3CO2 + 2H2O
C4H8 + 6O2 ———-> 4CO2 + 4H2O
ในกรณีที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ จะได้ผลิตภัณฑ์ เป็น CO และ H2O การดุลทำได้โดย ดุล C และ H ก่อน จากนั้นดุล O2 ถ้าได้เลขไม่ลงตัวให้เอาเลข 2 คูณตลอด เช่น
2C3H4 + 5O2 ———-> 6CO + 4H2O
2C3H8 + 7O2 ———-> 6CO + 8H2O
สารประกอบไฮโดรคาร์บอนแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ได้แก่
1. Alkane (แอลเคน) มีสูตรทั่วไป คือ CnH2n+2 เป็นพันธะเดี่ยวหมด
2. Alkene (แอลคีน) มีสูตรทั่วไป คือ CnH2n มีพันธะคู่
3. Alkyne (แอลไคน์) มีสูตรทั่วไป คือ CnH2n-2 มีพันธะสาม
4. Aromatic ไม่มีสูตรแน่นอนมีพันธะคู่สลับพันธะเดี่ยว และมีลักษณะเป็นวงกลม
การอ่านชื่อสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
สารประกอบ HC | ชื่อสารประกอบ HC | การอ่านชื่อตามภาษากรีก |
CH4 | มีเทน (methane) | C = 1 อ่านว่า มีท หรือ เม-ท |
C2H6 | อีเทน (ethane) | C = 2 อ่านว่า อีท หรือ เอ-ท |
C3H8 | โพรเพน (propane) | C = 3 อ่านว่า โพร-พ |
C4H10 | บิวเทน (butane) | C = 4 อ่านว่า บิว-ท |
C5H12 | เพนเทน (pentane) | C = 5 อ่านว่า เพน-ท |
C6H14 | เฮกเซน (hexane) | C = 6 อ่านว่า เฮก-ซ |
C7H16 | เฮปเทน (heptane) | C = 7 อ่านว่า เฮป-ท |
C8H18 | ออกเทน (octane) | C = 8 อ่านว่า ออก-ท |
C9H20 | โนเนน (nonane) | C = 9 อ่านว่า โน-น |
C10H22 | เดเคน (decane) | C = 10 อ่านว่า เด-ค |
หมู่แอลคิล (Alkyl) มีสูตรทั่วไป คือ CnH2n+1 สัญลักษณ์ คือ R คือ หมู่ที่ไปเกาะบนสารอื่นๆ เช่น
CH3 – methyl , C2H5 – ethyl , C3H7 – propyl
สารประกอบอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว
การเผาไหม้สารประกอบไฮโดรคาร์บอน สารประกอบพวกนี้จะมีเขม่ามากขึ้นอยู่กับ
1. สารประกอบนั้นมีคาร์บอนมากเกินไป
2. สารประกอบนั้นมี H น้อยเกินไป
สาเหตุที่สารประกอบที่ไม่อิ่มตัวมีเขม่ามาก เนื่องมาจาก ในการแยกสารประกอบเหล่านี้ ต้องใช้พลังงานในปริมาณมาก เพื่อสลายพันธะคู่หรือพันธะสาม พลังงานที่จะสลายพันธะเหล่านี้มีไม่เพียงพอ จึงทำให้การสลายตัวของพันธะไม่สมบูรณ์มีคาร์บอนเหลืออยู่จาการเผาไหม้ จึงเกิดเป็นเขม่าขึ้นมา
เรียงลำดับอัตราการเกิดปฏิกิริยาของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ได้ดังนี้
Alkyne > Alkene > Alkane > Aromatic |
การเขียนสูตรโมเลกุล สูตรโครงสร้างแบบย่อ และสูตรโครงสร้างแบบเส้น
Isomer คือสารประกอบที่มีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่สูตรโครงสร้างต่างกัน เช่น
C5H12 มี 3 isomer ดังนี้
ย่อ