วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก
(World Suicide Prevention Day)

สร้างโดย : นายพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
สร้างเมื่อ ศุกร์, 11/09/2015 – 12:35
มีผู้อ่าน 74,100 ครั้ง (08/11/2022)
ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/198057

วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก
(World Suicide Prevention Day)
10 กันยายน ของทุกปี

“สร้างความหวังด้วยการกระทำ”
“Creating Hope Through Action”

            การฆ่าตัวตายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญซึ่งส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสังคม อารมณ์ และเศรษฐกิจ เป็นที่คาดกันว่าปัจจุบันมีการฆ่าตัวตายทั่วโลกมากกว่า 700,000 ครั้งต่อปี และเรารู้ว่าการฆ่าตัวตายแต่ละครั้งส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อผู้คนอีกมากมาย
            “การสร้างความหวังผ่านการกระทำ” เป็นธีมสามปีของวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก ตั้งแต่ปี 2021-2023 ธีมนี้ทำหน้าที่เป็นคำกระตุ้นการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพและเตือนใจว่ายังมีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการฆ่าตัวตาย และด้วยการกระทำของเรา เราสามารถส่งเสริมความหวังและเสริมสร้างการป้องกัน
            ด้วยการสร้างความหวังผ่านการกระทำ เราสามารถส่งสัญญาณให้ผู้คนที่กำลังมีความคิดฆ่าตัวตายว่ามีความหวัง และเราห่วงใยและต้องการสนับสนุนพวกเขา นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่าการกระทำของเราไม่ว่าเล็กหรือใหญ่อาจให้ความหวังแก่ผู้ที่กำลังดิ้นรน
            สุดท้ายนี้ เป็นเครื่องเตือนใจว่าการป้องกันการฆ่าตัวตายถือเป็นสิ่งสำคัญด้านสาธารณสุข และจำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้แน่ใจว่าอัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายจะลดลง WHO จะยังคงทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อสนับสนุนประเทศต่างๆ ในการใช้มาตรการที่เป็นรูปธรรมในทิศทางนี้
            วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก (WSPD)  ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 โดย  สมาคมระหว่างประเทศเพื่อการป้องกันการฆ่าตัวตาย  ร่วมกับองค์การอนามัยโลก (WHO) วันที่ 10 กันยายนของทุกปีมุ่งความสนใจไปที่ประเด็นนี้ ลดการตีตรา และสร้างความตระหนักรู้ในหมู่องค์กร รัฐบาล และสาธารณชน โดยมีข้อความเดียวว่าการฆ่าตัวตายสามารถป้องกันได้

แหล่งข้อมูล : https://www.who.int/campaigns/world-suicide-prevention-day/2023

อ่านเพิ่มเติม...

การป้องกันการฆ่าตัวตาย

https://www.paho.org/sites/default/files/instagram_post_-_1_1_0.png

            การฆ่าตัวตายเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญแต่มักถูกละเลย ซึ่งรายล้อมไปด้วยตราบาป ตำนาน และข้อห้าม การฆ่าตัวตายทุกกรณีเป็นโศกนาฏกรรมที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงไม่เฉพาะบุคคลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงครอบครัวและชุมชนด้วย ในแต่ละปี ผู้คนมากกว่า 703,000 คนฆ่าตัวตายหลังจากพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง ซึ่งเท่ากับมีผู้เสียชีวิต 1 รายในทุกๆ 40 วินาที เนื่องจากองค์การอนามัยโลกประกาศให้ COVID-19 เป็นการระบาดใหญ่ในเดือนมีนาคม 2020 ผู้คนจำนวนมากขึ้นประสบกับความสูญเสีย ความทุกข์ทรมาน และความเครียด การมุ่งเน้นไปที่การป้องกันการฆ่าตัวตายมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม สร้างความตระหนักรู้ และให้ความหวัง การเข้าถึงคนที่คุณรักเพื่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีอาจช่วยชีวิตได้
            รายงานระดับภูมิภาคฉบับที่ 3 เกี่ยวกับการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 ระบุว่าปัญหานี้ยังคงเป็นลำดับความสำคัญด้านสาธารณสุขในภูมิภาคอเมริกา การฆ่าตัวตายสามารถป้องกันได้ด้วยการแทรกแซงที่ทันท่วงที ตามหลักฐาน และบ่อยครั้งที่มีต้นทุนต่ำ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 องค์การอนามัยโลกได้เปิดตัว LIVE LIFE ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ประกอบด้วยการแทรกแซงหลักสี่ประการ เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตายทั่วโลก แนวทางแบบพหุภาคส่วนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการมีส่วนร่วมของสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการทำงานร่วมกัน .ข้อมูลสำคัญ

  • ในภูมิภาคอเมริกา มีรายงานการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายโดยเฉลี่ย 98,000 คนต่อปีในช่วงปี 2015-2019 โดยอัตราการฆ่าตัวตายในอเมริกาเหนือและแคริบเบียนที่ไม่ใช่ชาวสเปนสูงกว่าอัตราในภูมิภาค
  • ประมาณ 79% ของการฆ่าตัวตายในภูมิภาคนี้เกิดขึ้นกับผู้ชาย อัตราการฆ่าตัวตายตามอายุในเพศชายสูงกว่าเพศหญิงถึงสามเท่า
  • การฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ในหมู่คนหนุ่มสาวอายุ 20 ถึง 24 ปีในอเมริกา ผู้ที่มีอายุ 45-59 ปีมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดในภูมิภาค รองลงมาคือผู้ที่มีอายุ 70 ​​ปีขึ้นไป
  • การฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุสูงสุดอันดับ 5 ของ DALY ในอเมริกา โดยมีช่วงเกือบเก้าเท่าเมื่อพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์ของภาระทั้งหมด จาก 0.4% ในแอนติกาและบาร์บูดาถึง 3.6% ในซูรินาเม
  • ในปี 2019 YLL ที่ปรับอายุสำหรับทั้งสองเพศสูงที่สุดในกายอานา ซึ่งเท่ากับมากกว่า 3200 ปีต่อประชากร 100,000 คน รองลงมาคือ 1772 ปีในซูรินาเม และ 1462 ปีในอุรุกวัย
  • การหายใจไม่ออก อาวุธปืน การวางยาพิษด้วยยาและแอลกอฮอล์ และการเป็นพิษด้วยยาฆ่าแมลงและสารเคมีเป็นวิธีการฆ่าตัวตายที่ใช้บ่อยที่สุด 4 วิธี ซึ่งคิดเป็น 91% ของการฆ่าตัวตายทั้งหมดในภูมิภาค

ข้อเท็จจริง
            การจัดการกับความซับซ้อนของพฤติกรรมฆ่าตัวตายเริ่มต้นด้วยการระบุปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยป้องกัน ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญมีตั้งแต่ระบบสุขภาพและสังคม ไปจนถึงชุมชน ความสัมพันธ์ และระดับบุคคล ซึ่งรวมถึงอุปสรรคในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข ภัยพิบัติ สงครามและความขัดแย้ง การพยายามฆ่าตัวตายครั้งก่อน ฯลฯ ปัจจัยดังกล่าวมักจะสะสมเพื่อเพิ่มความเสี่ยงต่อพฤติกรรมฆ่าตัวตาย แม้ว่าความเชื่อมโยงระหว่างการฆ่าตัวตายกับความผิดปกติทางจิตนั้นชัดเจน แต่การฆ่าตัวตายหลายครั้งอาจเกิดขึ้นอย่างหุนหันพลันแล่นในช่วงวิกฤต เช่น การสูญเสียทางการเงิน ปัจจัยปกป้องบางอย่างรวมถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่แน่นแฟ้น ความเชื่อทางศาสนาหรือจิตวิญญาณ และกลยุทธ์การเผชิญปัญหาเชิงบวกและแนวทางปฏิบัติที่เป็นอยู่ที่ดี
            การบรรเทาปัจจัยเสี่ยงเพื่อลดวิธีการฆ่าตัวตายหรือเพิ่มปัจจัยป้องกันเพื่อสร้างความยืดหยุ่นสามารถลดอัตราการฆ่าตัวตายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น สามารถป้องกันการฆ่าตัวตายโดยหุนหันพลันแล่นได้โดยการจำกัดการเข้าถึงวิธีการที่ทำให้ถึงตาย อย่างไรก็ตาม การป้องกันการฆ่าตัวตายยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเพียงพอในหลายประเทศ เนื่องจากขาดความตระหนักในการฆ่าตัวตายว่าเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญ ซึ่งทำให้ผู้คนไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้ การรายงานต่ำและการจัดประเภทผิดเป็นปัญหาที่สำคัญในการฆ่าตัวตายมากกว่าสาเหตุการตายอื่นๆ เนื่องจากมีความอ่อนไหวและผิดกฎหมายในบางประเทศ ความท้าทายมีจริงและต้องดำเนินการ
แหล่งที่มาข้อมูล : https://www.paho.org/en/topics/suicide-prevention

วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก (World Suicide Prevention Day)
โดย กรมสุขภาพจิต

            ทุกวันที่ 10 กันยายน ของทุกปี องค์การอนามัยโลกกำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันสำคัญคือ เป็นวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก (World Suicide Prevention Day) โดยประกาศเป็นครั้งแรกเมื่อ ปี ค.ศ. 2003 (ซึ่งก็ตรงกับปี พ.ศ. 2546 ของไทย)

  • สถานการณ์การฆ่าตัวตาย

            ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกเพื่อการป้องกันการฆ่าตัวตาย กล่าวว่า ในปีหนึ่งจะมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จเป็นจำนวนมากกว่า 1 ล้านคน เมื่อคิดเฉลี่ยต่อเวลาจะพบว่ามีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน ทุก 40 วินาที และทุก 1 รายที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ จะมีผู้คนญาติใกล้ชิดอีกกว่า 20 รายพยายามฆ่าตัวตาย (WHO-SUPRE 2009)
            ข้อมูลล่าสุด จากการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตาย โดย กรมสุขภาพจิต ได้รายงานอัตราฆ่าตัวตายของประเทศ ซึ่งเป็นข้อมูลสุดท้ายที่สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ. 2551 อัตราฆ่าตัวตาย อยู่ที่ 5.96 ต่อประชากร 1 แสนคน ปี พ.ศ. 2552 อัตราฆ่าตัวตายลดลงมา อยู่ที่ 5.73 ต่อประชากรแสนคน ซึ่งเมื่อเทียบกับอัตราฆ่าตัวตายของโลก เท่ากับ 16 ต่อประชากรแสนคน และอัตราฆ่าตัวตายปกติมีค่าไม่เกิน 6.5 ต่อประชากรแสนคน อัตราฆ่าตัวตายเสี่ยง มีค่าอยู่ระหว่าง 6.5-13 และอัตราฆ่าตัวตายสูง มีค่ามากกว่า 13 ต่อประชากรแสนคน (WHO-2009) ซึ่งประเทศไทยโดยรวมในขณะนี้มีอัตราฆ่าตัวตายไม่ถึง 6.5 ถือว่าปกติ ซึ่งเป็นผลจากที่กรมสุขภาพจิตได้พยายามแก้ไขเรื่องนี้และติดตามต่อเนื่องตลอดมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2542 หลังวิกฤติต้มยำกุ้งและเกิดวิกฤติสุขภาพจิต อัตราฆ่าตัวตายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คือเท่ากับ 8.6 ต่อประชากรแสนคน
            ในขณะที่ประเทศต่างๆในเอเชีย โดยเฉพาะ จีน ญี่ปุ่น หรือ เกาหลีใต้ อัตราการฆ่าตัวตายอยู่ในเกณฑ์สูงมาก ถือว่าไทยประสบความสำเร็จในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตาย ขณะที่บางประเทศอัตราการฆ่าตัวตายเป็นเลขสองหลักอยู่ เช่น ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีอัตราการฆ่าตัวตาย 24.1 ตนต่อประชากรแสนคน ประเทศศรีลังกา 21.6 คนต่อประชากรแสนคน ประเทศสหรัฐอเมริกา 10.5 คนต่อประชากรแสนคน ประเทศสวีเดน 13.5 คนต่อประชากรแสนคน

  • การฆ่าตัวตายในประเทศกำลังพัฒนา

            จากการศึกษาของ Vijayakumar และคณะในปี ค.ศ. 2002-2004 (Vijayakumar and John, 2006 ; WHO, 2008) โดยทุนสนับสนุนของโครงการจัดลำดับความสำคัญเพื่อควบคุมโรค (Disease Control Priorities Project: DCPP) ซึ่งผู้สนับสนุนรายใหญ่คือมูลนิธิของ นายบิลล์ เกตต์ จากไมโครซอฟท์ ร่วมกับองค์การอนามัยโลก (WHO) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ (NIH) ทำการศึกษาวิจัยการฆ่าตัวตายในประเทศกำลังพัฒนา พบว่า อัตราการฆ่าตัวตายในปัจจุบันสูงขึ้นในหลายพื้นที่ในประเทศกำลังพัฒนา เกี่ยวข้องกับระบบข้อมูลไม่สมบูรณ์ (under report data) การนับจำนวนประชากรในบางประเทศก็ไม่ถูกหลักสากล เช่น บางพื้นที่ในชนบทของประเทศอินเดียและจีน ไม่สามารถนับจำนวนประชากรที่แท้จริงได้ รวมทั้งผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จไม่ได้เข้าสู่ระบบบริการสุขภาพจิต ซึ่งไม่ได้รับการตรวจยืนยันทางจิตเวช การไม่บันทึกข้อมูลเพราะการฆ่าตัวตายเป็นความผิดทางกฎหมายในบางประเทศในเอเชีย (Abraham and others, 2006) การมีอคติ (stigma) และการไม่มีระบบบันทึกข้อมูลการตายที่มีประสิทธิภาพ (Joseph and others, 2003) ทำให้ตัวเลขการฆ่าตัวตายมีความคลาดเคลื่อนถึงกว่าร้อยละ 20-200 โดยที่สาเหตุการฆ่าตัวตายในประเทศตะวันตก มุ่งประเด็นการฆ่าตัวตายมีสาเหตุหลักจากปัญหาทางจิตเวช ในทางตรงข้ามแนวโน้มสาเหตุการฆ่าตัวตายในประเทศตะวันออก ให้ความสำคัญกับปัญหาสังคม วัฒนธรรม ความเชื่อมีความเกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายมาก ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของนักวิจัยหลายคน ที่สรุปไปในทำนองเดียวกันว่า ปัจจัยทางด้านสังคมเป็นสาเหตุให้เกิดการฆ่าตัวตายมากกว่าปัจจัยอื่น และมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นที่สังเกตว่าสาเหตุการฆ่าตัวตายของประชากรในประเทศกำลังพัฒนา ไม่ได้ชี้บ่งว่าเป็นปัญหาทางด้านความเจ็บป่วยทางจิตเวชแต่เพียงเรื่องเดียว มีหลายรายงานการศึกษาค้นพบว่า ในหลายประเทศปัญหาการฆ่าตัวตายเกี่ยวข้องกับระยะเวลาการเกิดความเครียด โดยพบว่าผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จนั้น มีการเผชิญความเครียดในชีวิตเป็นระยะเวลากว่า 2 สัปดาห์ ความเครียดเรื้อรังจึงเป็นปัจจัยสำคัญนำไปสู่การฆ่าตัวตาย ความเครียดมีสาเหตุจาก ฐานะทางเศรษฐกิจ ภาวะสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ความล้มเหลวในชีวิตคู่ การถูกทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ ความยากจน โดยนักวิจัยยืนยันว่า สาเหตุการฆ่าตัวตายนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย (WHO 2004: 3-5)

  • ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตาย

1. ปัจจัยทางชีวภาพ/การแพทย์ (Biological Factors)

            การฆ่าตัวตายมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งทางด้านสังคม จิตวิทยา และปัจจัยทางด้านชีวภาพ โดยปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากที่สุดคือการเจ็บป่วยทางจิตเวช (Persaud 2008 : 254) การศึกษาทางการแพทย์ พบว่าผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จประมาณ 9 ใน 10 มีความเจ็บป่วยทางจิตเวชอย่างใดอย่างหนึ่งขณะทำการฆ่าตัวตาย โดยมีสาเหตุสำคัญคือภาวะซึมเศร้าและการติดสุรา (WHO-SUPRE 2007) แม้คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าอารมณ์เศร้าและการติดสุรา น่าจะมีสาเหตุจากจิตใจและสังคมสิ่งแวดล้อม แต่จากการศึกษาพบว่าอารมณ์เศร้าที่มีอาการรุนแรงหรือที่มีอาการทางจิตร่วมด้วย เช่นมีอาการหวาดระแวงมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากกรรมพันธุ์ และนักวิทยาศาสตร์ยังตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองของผู้มีอาการซึมเศร้า ซึ่งแสดงถึงกระบวนการทางชีวภาพ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะซึมเศร้า และพบว่าการรักษาด้วยยาเพื่อปรับการทำงานของระบบสารเคมีในสมอง ช่วยให้อาการดีขึ้นเร็วกว่าการรักษาทางจิตใจ โดยเฉพาะหากมีอาการรุนแรงหรือมีอาการทางจิตจำเป็นต้องได้รับยาในการรักษา แต่การรักษาจะได้ผลดีที่สุดและช่วยป้องกันไม่ให้กลับเป็นซ้ำ หากให้การรักษาทั้งทางยาและทางจิตใจควบคู่ไป โดยการช่วยเหลือทางจิตใจ จะเน้นการปรับวิธีคิดเพิ่มทักษะในการแก้ปัญหาและการสร้างสัมพันธภาพ ภาวะซึมเศร้าเป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตายที่พบมากที่สุด โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการรุนแรงและมีประวัติทำร้ายตนเองมาก่อน
            ขณะเดียวกันปัญหาติดสุราเป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตายประมาณ 1 ใน 4 โดยเฉพาะผู้ดื่มสุราที่มีปัญหาสุขภาพร่างกาย มีปัญหาชีวิตสมรส ปัญหาในการทำงาน มุมมองทางการแพทย์เชื่อว่า ผู้ป่วยทางจิตเวชที่คิดฆ่าตัวตายนั้นเมื่อรักษาจนภาวะทางจิตดีขึ้น ส่วนใหญ่ความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายจะลดลง การรักษาที่ถูกต้องร่วมกับการสร้างความเข้มแข็งทางใจของกลุ่มเสี่ยงจึงมีความสำคัญในการป้องกันการฆ่าตัวตาย


2. ปัจจัยทางจิตใจ สังคม วัฒนธรรม (Psycho-Sociocutural Factors

            แม้ว่าการฆ่าตัวตายจะมีสาเหตุและความเป็นมาแตกต่างกัน แต่มักจะมีปัจจัยทางสังคมร่วมกัน เช่นปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความรักความสัมพันธ์ สังคมที่มีความสับสนวุ่นวาย เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน สมาชิกในสังคมจะเกิดความรู้สึกแปลกแยก ไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ขาดความหมายของการมีชีวิตอยู่ การฆ่าตัวตายในสังคมนั้นจะเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับสังคมที่เน้นความเป็นตัวของตัวเอง แข่งขัน ค่านิยมต่างๆสั่นคลอน ความรู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยกถือเป็นสาเหตุสำคัญทางสังคมของการฆ่าตัวตาย

  • โครงสร้างวัฒนธรรม สื่อมวลชน พฤติกรรมเลียนแบบ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ

            วัฒนธรรมประเพณี โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางวัฒนธรรม ส่งผลต่อการฆ่าตัวตายของประชากรในสังคม มีการศึกษาในหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศตะวันออกที่สรุปตรงกันว่า การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมเป็นตัวสร้างแรงกดดันให้วิถีชีวิตดำเนินไปด้วยความยากลำบาก ดังเช่นการฆ่าตัวตายในเมืองเชนไนของอินเดีย มาจากการเปลี่ยนผ่านของวัฒนธรรมตะวันตกกระทบวิถีชีวิตแบบตะวันออก มีผู้คนฆ่าตัวตายยกครัวในหลายหมู่บ้าน ส่งผลให้อัตราฆ่าตัวตายในอินเดียปีนั้นสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ (Gehlot P.S, Nathawat S.S. 1983)
            เช่นเดียวกับในประเทศจีน พบการฆ่าตัวตายในเพศหญิงสูงกว่าในเพศชาย (ซึ่งแตกต่างจากการศึกษาของประเทศอื่นๆทั่วโลก) นั่นเป็นเพราะว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากลักษณะทางวัฒนธรรมความเชื่อ จากการศึกษาของ Dr.Jie Zhang และคณะ เมื่อปี ค.ศ. 2002 พบว่า วัฒนธรรมเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อรูปแบบการฆ่าตัวตายในสังคมของจีน จากประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณีและความเชื่อของชาวจีนถือชายเป็นใหญ่ แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมระหว่างปี ค.ศ. 1966-1976 รัฐบาลโดยเหมาเจ๋อตุง มีนโยบายให้ความเท่าเทียมระหว่างหญิงและชาย หญิงจีนหลายคนเป็นทหารตำแหน่งสูงในกองพลเรดการ์ดของกองทัพประชาชน แต่ความเชื่อเดิมจากวัฒนธรรมขงจื้อ หญิงคือช้างเท้าหลัง จึงทำให้มีความขัดแย้งในใจของหญิงจีนเป็นจำนวนมากในการปรับตัวให้เท่าเทียมชาย การฆ่าตัวตายจึงเป็นทางเลือกที่หลายคนเลือกปฏิบัติและมักจะเป็นที่ยอมรับกันโดยเฉพาะในหมู่ชาวชนบท ซึ่งได้สอดคล้องกับวรรณกรรมโบราณที่โด่งดังและมีอิทธิพลต่อความเชื่อของชาวจีน ดังเช่นเรื่องความรักในหอแดง ที่บันทึกความรักของหญิงชายที่เลือกการฆ่าตัวตายเป็นทางออกของปัญหาที่ดีที่สุด วรรณกรรมเรื่องนี้ถือเป็นความเชื่อพื้นฐาน ที่เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมต่อแนวคิดการฆ่าตัวตายของประชากรส่วนหนึ่งอย่างมาก โดยเฉพาะในประชากรเพศหญิงที่อยู่ในสังคมชนบท การศึกษาน้อย (WHO-Suicide Prevention in Asia, 2008)
            ซึ่งในเรื่องนี้องค์การอนามัยโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาด้านวัฒนธรรมกับพฤติกรรมการฆ่าตัวตายเป็นอย่างมาก จึงเป็นที่มาของการรณรงค์เพื่อการป้องกันการฆ่าตัวตายในปีที่ผ่านมา 2009 ว่า การป้องกันการฆ่าตัวตายในวัฒนธรรมที่ต่างกัน (Suicide Prevention in Difference Culture)
            สำหรับประเทศไทย แม้ว่าเราจะประสบความสำเร็จด้วยดีในการแก้ปัญหาฆ่าตัวตายในภาพรวมของประเทศ แต่ในรายละเอียดแล้วยังประสบปัญหาในบางพื้นที่โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือตอนบน ที่มีอัตราฆ่าตัวตายสูง นั่นคือมากกว่า 13 ต่อประชากรแสนคน ตลอดมา แม้ว่าตัวเลขอัตราฆ่าตัวตายจะลดลงจากในตอนต้นที่ดำเนินโครงการในปี พ.ศ. 2544 แล้วก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้ ผู้เกี่ยวข้องก็ได้ตระหนักและเห็นความสำคัญของปัญหาดังเช่นที่เกิดในหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เป็นต้น จึงได้มีความพยายามหาสาเหตุของปัญหา และจากการศึกษาของอภิชัย มงคล และคณะ ทำการศึกษา การป้องกันการฆ่าตัวตายในเขตภาคเหนือตอนบน 4 จังหวัดที่มีอัตราฆ่าตัวตายสูงสุดของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2550 คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และพะเยา โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงด้านวัฒนธรรม ในช่วงปี พ.ศ. 2551-2552 และผลการศึกษาพบว่า วัฒนธรรมเป็นได้ทั้งปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยปกป้องการฆ่าตัวตายของประชาชนในเขตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย (อภิชัย มงคล และคณะ: ผลงานวิชาการดีเด่นประเภทโปสเตอร์ที่ประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุขประจำปี 2553)

  • ข่าวสาร สื่อมวลชน และการเลียนแบบ

            ขณะเดียวกันสื่อสารมวลชนและการเลียนแบบส่งผลต่อการฆ่าตัวตายเช่นกัน ข้อมูลองค์การอนามัยโลกและสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายนานาชาติ ได้นำเสนอข้อมูลว่าจากการศึกษาทบทวนเป็นระบบ พบว่า กว่าห้าสิบรายงานการศึกษาที่สรุปว่า การนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายทางสื่อมีผลชี้นำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบการฆ่าตัวตาย (WHO UPDATE-2008 : p6) และผลการศึกษาของ David P. Phillips พบว่าหลังจากที่มีการนำเสนอข่าวสารผ่านหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์เรื่องการฆ่าตัวตาย และวิธีการอย่างละเอียด อัตราการฆ่าตัวตายจะสูงขึ้นทันทีในปีนั้นๆ โดยใช้วิธีการอย่างเดียวกับข่าวสารที่ได้รับ ซึ่งแสดงถึงการมีพฤติกรรมเลียนแบบหลังมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จ ภายในสิบวัน จะมีผู้ฆ่าตัวตายรายใหม่เกิดขึ้น และการฆ่าตัวตายที่เกิดตามมามักใช้วิธีการเดียวกัน (Phillips 1974)

  • ปัจจัยทางจิตใจ

            ผู้คิดฆ่าตัวตายมักมองตนเองว่าเป็นคนไร้ค่าไม่มีความสามารถ มองสังคมรอบตัวว่าขาดความเป็นธรรมและไม่ให้อภัยต่อความผิดพลาดของตน เกิดความรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง เบื่อหน่ายเศร้าใจและทุกข์ระทมใจเป็นอย่างมาก ผู้คิดฆ่าตัวตายมักเป็นผู้ที่ขาดทักษะในการแก้ปัญหาในการดำรงชีวิต จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ใช้ทักษะการแก้ปัญหาเชิงรุก จะเครียดน้อยกว่าผู้เลี่ยงปัญหาหรือเน้นแต่การบรรเทาด้านอารมณ์ การตัดสินใจฆ่าตัวตาย จึงเป็นเหมือนทางออกเพื่อหนีจากปัญหาที่เขามองไม่เห็นทางแก้ไข
            การฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นทุกรายมักมีสาเหตุที่เกี่ยวข้องหลายประการ การให้ความช่วยเหลือผู้คิดฆ่าตัวตายและป้องกันการฆ่าตัวตายจึงต้องเข้าใจปฏิสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อชีวิตของบุคคลผู้นั้นอย่างรอบด้าน

  • ปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย

            จากรายงานขององค์การอนามัยโลก รายงานว่าปัญหาทางจิตเวช เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับปัญหาฆ่าตัวตาย ดังนั้นการป้องกันและการรักษาโรคทางจิตเวชจึงเป็นแนวทางการแก้ปัญหาและการป้องกันการฆ่าตัวตายที่ได้ผลที่สุด จากการศึกษาการวินิจฉัยทางจิตเวชของผู้ที่ฆ่าตัวตาย 5,588 รายพบว่า ผู้ที่ฆ่าตัวตายสูงสุดเจ็บป่วยด้วยโรคซึมเศร้า รองลงมาคือโรคทางจิตเวชอื่นและบุคลิกภาพผิดปกติ และอันดับสามคือผู้ติดสุราและสารเสพติด โดยผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จเป็นเพศชาย ผู้สูงอายุ อยู่คนเดียว และมีโรคเจ็บป่วยทางกายเรื้อรังร่วมด้วย (WHO/MNH/MND/ 93.24 2004 : 5)
            สำหรับผู้อยู่ในภาวะสูญเสียบุคคลใกล้ชิด และมีอารมณ์เศร้าขึ้นๆลงๆ อยู่ในครอบครัวที่บุคคลเคยพยายามฆ่าตัวตาย ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติดอื่นบ่อยๆ เป็นความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตายมากที่สุด (Andrew and Cheng 2000)
            ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีข้อสรุปของกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐอเมริกา ระบุในเอกสารแผนยุทธศาสตร์ป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตาย (U.S. Public Health Service 1999: 8-9) ว่า ปัจจัยเสี่ยงของการฆ่าตัวตายที่สำคัญคือ

  • การเคยทำร้ายตนเองมาก่อน
  • การมีปัญหาสุขภาพจิตโดยเฉพาะภาวะซึมเศร้าและโรคจิตอารมณ์แปรปรวน
  • การมีปัญหาสุขภาพจิตร่วมกับการใช้สารเสพติด
  • มีประวัติการฆ่าตัวตายในครอบครัว
  • อยู่ในภาวะสิ้นหวัง การอยู่อย่างโดดเดียว ถูกตัดขาดจากผู้คน
  • บุคลิกภาพแบบก้าวร้าวและหุนหันพลันแล่น
  • มีอุปสรรคในการเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลทางจิตเวช
  • เกิดความสูญเสียทางด้านความสัมพันธ์ ด้านสังคม ด้านการงาน และด้านการเงิน
  • การเจ็บป่วยด้วยโรคทางกาย
  • การเข้าถึงเครื่องมือทำร้ายตนเองได้ง่ายโดยเฉพาะปืน
  • การไม่เต็มใจรับความช่วยเหลือ เพราะอับอายเรื่องสุขภาพจิตและใช้สารเสพติด
  • อิทธิพลการฆ่าตัวตายของผู้ที่ตนรักเช่น ดารา สมาชิกในครอบครัว เพื่อนสนิท ทั้งที่เป็นประสบการณ์ที่ตนใกล้ชิด หรือจากการได้รับสื่อต่างๆ
  • อิทธิพลความเชื่อและศาสนาบางอย่างเช่นเชื่อว่า การฆ่าตัวตายเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่น่ายกย่อง
  • การระบาดของภาวการณ์ฆ่าตัวตายในท้องถิ่น
  • ปัจจัยปกป้องการฆ่าตัวตาย

            ในยุทธศาสตร์การป้องกันการฆ่าตัวตายของสหรัฐ (U.S. Public Health Service 1999: : 10) ได้ให้ความสำคัญปัจจัยปกป้องที่สำคัญไว้สองประเด็นคือ
            ปัจจัยปกป้องภายใน ประกอบด้วย ลักษณะทางพันธุกรรมของบุคคลและ ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะทางจิตวิทยาส่วนบุคคล ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเกราะคุ้มภัยทางใจ เช่นทัศนคติ พฤติกรรม ความเชื่อทางศาสนา และสิ่งปลูกฝังทางใจที่ได้รับการสั่งสอนมา รวมเป็นพลังสำคัญอย่างหนึ่งในการลดภาวะเสี่ยงและป้องกันการฆ่าตัวตายได้ แต่การต่อต้านการฆ่าตัวตายในทางบวกไม่สามารถป้องกันการฆ่าตัวตายได้

  • ปัจจัยปกป้องภายนอก ประกอบด้วย
    • การมีคลินิกบริการด้านสุขภาพจิตและยาเสพติดที่มีประสิทธิภาพพอ
    • สามารถเข้าถึงบริการการได้ง่าย
    • เข้มงวดการเข้าถึงวิธีการตายที่ถูกใช้บ่อยๆ เช่นการเข้าถึงอาวุธปืน
    • การมีปัจจัยเกื้อหนุนทางครอบครัวและชุมชน
    • มีความเชื่อมโยงกันระหว่างบริการด้านสุขภาพจิตและบริการด้านการแพทย์
    • เรียนรู้ทักษะในการแก้ไขปัญหา ความขัดแย้ง และการทะเลาะวิวาท
    • วัฒนธรรมและความเชื่อ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้ห่างไกลจากการฆ่าตัวตาย และสร้างเสริมความมั่นคงทางจิตใจได้ด้วย

            กรมสุขภาพจิตได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ และได้ดำเนินโครงการดูแลช่วยเหลือและป้องกันปัญหานี้อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 (ก่อนที่องค์การอนามัยโลกจะประกาศให้มีวัน World Suicide Prevention Day) จนถึงปัจจุบัน จัดให้มีระบบการบริหารจัดการความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยสร้างระบบบันทึกข้อมูล การเฝ้าระวัง และการศึกษาวิจัยปัญหาในแง่มุมต่างๆ เพื่อนำมาใช้วางแผนการดำเนินการช่วยเหลือและป้องกันปัญหาต่อไป

ด้วยความปราถนาดี กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
Posted by DMH Staff/Sty-Lib
ผู้แต่ง: กรมสุขภาพจิต – dmhstaff@dmhthai.com – 10/9/2010
ที่มา http://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=1083

ย่อ