การเกิดจันทรุปราคา (Lunar Eclipse)
สร้างโดย : นายพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
สร้างเมื่อ อาทิตย์, 17/08/2008 – 09:10
มีผู้อ่าน 172,437 ครั้ง (07/11/2022)
ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/8596
การเกิดจันทรุปราคา
Lunar Eclipse
บทนำ การเกิดจันทรุปราคา
จันทรุปาคา เป็นปรากฏการณ์ ที่โลกบังแสงดวงอาทิตย์ไม่ให้ไปกระทบที่ดวงจันทร์ ในบริเวณดวงอาทิตย์ในวันเพ็ญ ( ขึ้น 15 ค่ำ ) โดยโลกอยู่ระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ ทำให้เงาของโลกไปบังดวงจันทร์
การเกิดจันทรุปราคา หรือเรียกอีกอย่างว่า จันทคราส คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันเพ็ญ ( ขึ้น 15 ค่ำ) เมื่อดวงจันทร์โคจรมาอยู่ในระนาบเส้นตรงเดียวกับโลกและดวงอาทิตย์ทำให้เงาของโลกบังดวงจันทร์คนบนซีกโลกซึ่งควรจะเห็นดวงจันทร์เต็มดวงในคืนวันเพ็ญจึงมองเห็นดวงจันทร์ในลักษณะต่างๆ เช่น “ จันทรุปราคาเต็มดวง” เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนเข้าไปในเงามืดของโลก จึงทำคนบนซีกโลกที่ควรเห็นดวงจันทร์เต็มดวง กลับเห็นดวงจันทร์ซึ่งเป็นสีเหลืองนวลค่อยๆ มืดลง กินเวลาประมาณ 1.5 ชั่วโมง จากนั้นจึงจะเห็นดวงจันทร์ เป็นสีแดงเหมือนสีอิฐเต็มดวง เพราะได้รับแสงสีแดงซึ่งเป็นคลื่นที่ยาวที่สุดและบรรยากาศโลกหักเหไปกระทบกับดวงจันทร์ ส่วน “ จันทรุปราคาบางส่วน” เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าไปในเงามือของโลกเพียงบางส่วน จึงทำให้เห็นดวงจันทร์เพ็ญบางส่วนมืดลงและบางส่วนมีสีอิฐขณะเดียวกันอาจเห็นเงาของโลกเป็นขอบโค้งอยู่บนดวงจันทร์ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าโลกกลม
ผลกระทบ การเกิดจันทรุปราคาไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติเพราะเป็นช่วงกลางคืน แต่คนสมัยก่อนมีความเชื่อเช่นเดียวกับการเกิดสุริยุปราคา โดยเชื่อว่า “ราหูอมจันทร์” ซึ่งจะนำความหายนะ และภัยพิบัติมาสู่โลก คนจีนและคนไทยจึงแก้เคล็ดคล้ายกันเช่น ใช้วิธส่งเสียงขับไล่ คนจีนจุดประทัด ตีกะทะ ส่วนคนไทยก็เล่นกันก็ตีกะลา เอาไม้ตำน้ำพริกไปตีต้นไม้ เอาผ้าถุงไปผูกเพื่อล้างความโชคร้ายและให้ราหูโลกอมจันทร์”
ปัจจัยในการเกิดจันทรุปราคา
จันทรุปราคาไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เนื่องจากระนาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์และระนาบการโคจรของดวงจันทร์รอบโลกทำมุมกัน 5 องศา ในการเกิดจันทรุปราคา ดวงจันทร์จะต้องอยู่บริเวณจุดตัดของระนาบวงโคจรทั้งสอง และต้องอยู่ใกล้จุดตัดนั้นมาก จึงจะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงหรือจันทรุปราคาบางส่วนได้
ระยะห่างระหว่างโลกและดวงจันทร์มีผลต่อความเข้มของจันทรุปราคาด้วย นอกจากนี้ หากดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากโลกมากที่สุด (apogee) จะทำให้ระยะเวลาในการเกิดจันทรุปราคานานขึ้น ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ
1. ดวงจันทร์จะเคลื่อนที่อย่างช้าๆ เพราะตำแน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่ช้าที่สุดตลอดการโคจรรอบโลก
2. ดวงจันทร์ที่มองเห็นจากโลกจะมีขนาดเล็ก จะเคลื่อนที่ผ่านเงาของโลกไปทีละน้อย ทำให้อยู่ในเงามืดนานขึ้น
ในทุกๆ ปีจะมีจันทรุปราคาเกิดขึ้นอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หากเก็บสถิติการเกิดจันทรุปราคาแล้ว จะสามารถทำนายวันเวลาในการเกิดจันทรุปราคาครั้งต่อไปได้
การสังเกตจันทรุปราคาแตกต่างจากสุริยุปราคา จันทรุปราคาส่วนใหญ่จะสามารถสังเกตได้จากบริเวณใดๆ บนโลกที่อยู่ในช่วงเวลากลางคืนขณะนั้น ขณะที่สุริยุปราคาจะสามารถสังเกตได้เพียงบริเวณเล็กๆ เท่านั้น
อ่านเพิ่มเติม...
ประเภทของจันทรุปราคา
ประเภทของจันทรุปราคา มี 3 ประเภทคือ
1. ถ้าดวงจันทร์เข้าไปอยู่ในเงามัวของโลก ก็จะเกิด จันทรุปราคาเงามัว (Penumbral eclipse) ดวงจันทร์จะลดความสว่างลงเล็กน้อย คล้ายมีเมฆบางๆ มาบังดวงจันทร์ซึ่งสังเกตได้ยากมาก
2. ถ้าดวงจันทร์เริ่มสัมผัสเงามืดของโลกครั้งที่ 1 หรือเมื่อดวงจันทร์เริ่มออกจากเงามืด จะเกิด จันทรุปราคาบางส่วน (Partial lunar eclipse) ดวงจันทร์จะเว้าแหว่งและลดความสว่างลง
3. ถ้าดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าไปอยู่ในเงามืดของโลกหมดทั้งดวง จะเกิด จันทรุปราคาเต็มดวง (Total lunar eclipse) ดวงจันทร์จะมืดลงมากแต่ไม่ดำสนิท บางครั้งจะเห็นดวงจันทร์เป็นสีแดง หรือที่เรียกว่า “พระจันทร์สีเลือด”
การที่เรามองเห็นจันทรุปราคาเต็มดวงมีสีดังสีเลือดก็เนื่องมาจากโลกมีบรรยากาศห่อหุ้มอยู่ เมื่อเงาดำของโลกทอดไปทับดวงจันทร์ บรรยากาศบางส่วนที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์จะสะท้อนแสงไปยังเงาดำนั้นบ้าง จึงทำให้เกิดแสงสลัวๆ ปรากฏขึ้น
ลำดับการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง
Phases of Total Lunar Eclipse
ลำดับการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง
Phases of the 2000 Total Lunar Eclipse
Totality is embraced by the partial phases of the 2000 total lunar eclipse.
The composite was assembled from three separate exposures using Adobe Photoshop.
The total lunar eclipse of 2000 Jan 20-21 was widely visible from the USA.
AstroPhysics 120 EDT Refractor (5″ F/6) + AP 2X Barlow, Kogak Royal Gold 100, f/12
เมื่อเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์ไม่ได้หายไปจนมืดทั้งดวง แต่จะเห็นเป็นสีแดงอิฐ เนื่องจากมีการหักเหของแสงอาทิตย์เมื่อส่องผ่านชั้นบรรยากาศของโลก สีของดวงจันทร์เมื่อเกิดจันทรุปราคาแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน แบ่งออกได้เป็น 5 ระดับ ดังนี้
ระดับ 0 ดวงจันทร์มืดจนแทบมองไม่เห็น
ระดับ 1 ดวงจันทร์มืด เห็นเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลแต่มองไม่เห็นรายละเอียด ลักษณะพื้นผิวของดวงจันทร์
ระดับ 2 ดวงจันทร์มีสีแดงเข้มบริเวณด้านในของเงามืด และมีสีเหลืองสว่างบริเวณด้านนอกของเงามืด
ระดับ 3 ดวงจันทร์มีสีแดงอิฐและมีสีเหลืองสว่างบริเวณขอบของเงามืด
ระดับ 4 ดวงจันทร์สว่างสีทองแดงหรือสีส้ม ด้านขอบของเงาสว่างมาก
จันทรุปราคาเต็มดวง : 16 กรกฎาคม 2543
วรเชษฐ์ บุญปลอด (worachateb@hotmail.com)
เมื่อคืนวันที่ 16 กันยายน 2540 หลายคนที่เฝ้าติดตามดูจันทรุปราคาเต็มดวงในค่ำคืนนั้นคงพอจำได้ดีว่า คราสเต็มดวงตลอดหนึ่งชั่วโมงในคืนวันนั้นเป็นสีแดงส้ม ถือได้ว่าเป็นจันทรุปราคาเต็มดวงที่สว่างมากทีเดียว แต่จันทรุปราคาเต็มดวงที่จะเกิดขึ้นในคืนวันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นจันทรุปราคาที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลายาวนานที่สุด คือ 1 ชั่วโมง 47 นาที ยาวนานกว่าจันทรุปราคาเต็มดวงครั้งใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในสหัสวรรษหน้า คาดว่าจะเป็นจันทรุปราคาเต็มดวงที่มืดสลัวกว่าครั้งที่แล้วด้วย
เนื่องจากจันทรุปราคาครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาหัวค่ำดังนั้นดวงจันทร์จึงอยู่ไม่สูงมากนักจากขอบฟ้า โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง คนไทยในประเทศน่าจะเริ่มเห็นดวงจันทร์ทางทิศตะวันออกได้ในเวลาประมาณ 19.00 น. หรือหลังจากนั้นไม่นาน ซึ่งดวงจันทร์ได้เข้าสู่เงามืดของโลกไปบางส่วนแล้ว โดยสังเกตได้ว่าขอบด้านล่างของดวงจันทร์มีลักษณะมืดคล้ำลง เงามืดของโลกจะกินลึกเข้าไปมากขึ้นจนกระทั่งเวลาใกล้ 20.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ดวงจันทร์เกือบจะถูกบังเต็มดวงแล้ว ในช่วงนี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงของสีและความมืดสลัวของเงามืด โดยเงามืดที่ปรากฏบนพื้นผิวดวงจันทร์อาจดูสว่างขึ้นเล็กน้อย และมีสีออกน้ำตาลปนเทา เนื่องจากแสงที่หักเหในบรรยากาศโลกเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นบนพื้นผิวดวงจันทร์
จากนั้น 20.02 น. เป็นเวลาที่เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง แม้ว่าขณะนี้ดวงจันทร์ได้ถูกเงาของโลกบดบังหมดทั้งดวง แต่ดวงจันทร์จะสว่างพอที่จะมองเห็นได้ และมีสีแดง ส้ม หรือเหลือง และบางส่วนอาจมีสีฟ้าหรือสีอื่นนอกจากนี้ ขณะนี้ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนเข้าสู่ใจกลางของเงาโลก ซึ่งตามธรรมชาติแล้วดวงจันทร์ก็น่าจะมีความสว่างที่ลดลงมากกว่านี้ เวลา 20.56 น. เป็นเวลาที่ดวงจันทร์เข้าใกล้ศูนย์กลางเงามากที่สุดและจะเริ่มออกห่างศูนย์กลางเงานับจากนี้
ในขณะที่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง นักดาราศาสตร์มีวิธีวัดความสว่างและสีของดวงจันทร์ซึ่งกระทำได้ง่ายด้วยการสังเกตด้วยตาเปล่า ตามมาตราของดองชง (Danjon’s scale) เรียกง่ายๆ ว่าค่าแอล (L) สีและความสว่างของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงแต่ละครั้ง มีความแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ อาทิระยะห่างระหว่างดวงจันทร์กับศูนย์กลางเงา ปริมาณเมฆและฝุ่นละอองเถ้าถ่านในบรรยากาศโลก เราอาจประมาณค่าแอลได้จากตารางและถ้าจะให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุด อาจทำการประมาณค่าแอลทุกๆ 10-20 นาที นับตั้งแต่ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง
สำหรับจันทรุปราคาครั้งนี้ ผู้เขียนได้เคยคาดหมายความสว่างของดวงจันทร์ ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมฯ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2543 และนิตยสารอัพเดทฉบับเดือนมิถุนายนว่า
“…ค่าแอล ณ เวลากึ่งกลางของการเกิดน่าจะใกล้เคียงกับ 1.0 คือ ดวงจันทร์มืด มีสีเทาหรือน้ำตาล มองเห็นรายละเอียดบนพื้นผิวได้ยาก ทั้งนี้เนื่องจากดวงจันทร์เข้าไปใกล้ศูนย์กลางเงามาก และฝุ่นละอองเถ้าถ่านจากการปะทุของภูเขาไฟมายันในฟิลิปปินส์และภูเขาไฟอูสุบนเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อาจมีผลให้บรรยากาศในระดับสูงมีความทึบมากกว่าปกติได้ ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตคือการที่ภูเขาไฟปินาตุโบในฟิลิปปินส์ ทำให้จันทรุปราคาเต็มดวงที่เกิดขึ้นในช่วงหลังปี พ.ศ. 2534 มีความสว่างและสีผิดปกติ อย่างไรก็ตามหากปริมาณเถ้าถ่านจากภูเขาไฟยังไม่มากพอหรือกระจายตัวน้อยจนเกือบไม่มีผลกับบรรยากาศ เราก็ยังคงเชื่อมั่นได้ว่าจันทรุปราคาเต็มดวงครั้งนี้จะมืดกว่าครั้งที่เกิดขึ้นล่าสุดที่มองเห็นในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2540…”
อย่างไรก็ตาม จากความเห็นของ Alan M. MacRobert ซึ่งมีโอกาสมองเห็นจันทรุปราคาเต็มดวงครั้งล่าสุด (ที่มองไม่เห็นในประเทศไทย) ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Sky & Telescope อ้างถึงการที่จันทรุปราคาเต็มดวงเมื่อวันที่ 20-21 มกราคม 2543 มีความสว่างมาก ทำให้ตีความได้ว่าจันทรุปราคาครั้งนี้อาจมีแนวโน้มที่จะสว่างมากกว่าที่ผู้เขียนคาดหวังไว้ข้างต้น ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะทำให้ค่าแอลอาจมีค่าราว ๆ 2 หรือมากกว่าก็เป็นได้ โดยผู้เขียนยังคงเชื่อว่าหากเปรียบเทียบความสว่างของดวงจันทร์ครั้งนี้กับ ครั้งที่เกิดในปี พ.ศ. 2540 ก็น่าจะพบว่าคราวนี้ดวงจันทร์มืดกว่าครั้งที่แล้ว และน่าจะสังเกตเห็นความแตกต่างได้
ขั้นตอนการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง 16 กรกฎาคม 2543 | ||
---|---|---|
เหตุการณ์ | เวลา | มุมเงย ของดวงจันทร์ |
1. ดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงามัวของโลก | 17.47 น. | -13° |
2. เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน (เริ่มเห็นดวงจันทร์แหว่ง) | 18.57 น. | 3° |
3. เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง) | 20.02 น. | 16° |
4. กึ่งกลางของการเกิด | 20.56 น. | 27° |
5. สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์ออกจากเงามืด) | 21.49 น. | 37° |
6. สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน (ดวงจันทร์กลับมาเต็มดวง) | 22.54 น. | 48° |
7. ดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลก | 00.04 น. | 54° |
จันทรุปราคาเต็มดวงจะสิ้นสุดลงในเวลา 21.49 น. ทันทีที่บางส่วนของดวงจันทร์ออกจากเงามืดของโลก ขอบดวงจันทร์ด้านล่างจะสว่างขึ้นและหลังจากนั้นจะกลายเป็นจันทรุปราคาบางส่วน โดยดวงจันทร์เริ่มปรากฏเต็มดวงมากขึ้นๆ จนกระทั่งเวลา 22.54 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ดวงจันทร์กลับมาเต็มดวงสมบูรณ์เช่นเดิม อย่างไรก็ตามถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าดวงจันทร์ยังคงดูมืดสลัวกว่าจันทร์เพ็ญปกติต่อไปอีกอย่างน้อย 15 นาที และจันทรุปราคาจะสิ้นสุดลงอย่างแท้จริงเมื่อดวงจันทร์ออกจากเงามัวของโลกในเวลาหลังเที่ยงคืนไม่นาน
Phases of the 2000 Total Lunar Eclipse
Totality is embraced by the partial phases of the 2000 total lunar eclipse.
The composite was assembled from three separate exposures using Adobe Photoshop.
The total lunar eclipse of 2000 Jan 20-21 was widely visible from the USA.
AstroPhysics 120 EDT Refractor (5″ F/6) + AP 2X Barlow, Kogak Royal Gold 100, f/12
การเกิดจันทรุปราคา (Lunar Eclipse) ก่อนปี 2550
การเกิดจันทรุปราคา (Lunar Eclipse) ก่อนปี 2550
เหตุการณ์ปรากฎบนท้องฟ้าตั้งแต่ปี 2543 ถึงปี 2550 ที่สำคัญมีดีงนี้
- พ.ศ. 2550
ดาวอังคารใกล้โลก 2550 (14/12/50)
ฝนดาวตกคนคู่ 2550 (3/12/50)
ดวงจันทร์บังดาวหัวใจสิงห์ : 1 ธันวาคม 2550 (25/11/50)
ฝนดาวตกสิงโต 2550 (16/11/50)
ดาวหางโฮมส์ (17P/Holmes) (25/10/50)
จันทรุปราคาเต็มดวง : 28 สิงหาคม 2550 (10/8/50)
ฝนดาวตกเพอร์ซิอัส 2550 (14/7/50)
สุริยุปราคาบางส่วน : 19 มีนาคม 2550 (12/3/50)
จันทรุปราคาเต็มดวง : 4 มีนาคม 2550 (26/2/50)
โนวาในกลุ่มดาวแมงป่อง (18/2/50)
ดาวเคราะห์ในปี 2550 (16/1/50)
ดาวหางแมกนอต (6/1/50)
อุปราคาในปี 2550 (27/12/49)
ฝนดาวตกในปี 2550 (23/12/49) - พ.ศ. 2549
ฝนดาวตกคนคู่ 2549
จันทร์กึ่งข้างแรม (12/12/49)
จันทร์เพ็ญกับวัฏจักรเมตอน (4/12/49)
กระจุกดาวลูกไก่ (29/11/49)
จันทร์กึ่งข้างขึ้น (28/11/49)
ดวงจันทร์กับปากปลา (27/11/49)
ดูดาวพุธตอนเช้ามืด (25/11/49)
จันทรุปราคาบางส่วน: 7/8 กันยายน 2549
ดาวหางชวาสมานน์-วัคมานน์ 3
ดาวเคราะห์ในปี 2549
อุปราคาและดาวพุธผ่านหน้าดวงอาทิตย์ในปี 2549
ฝนดาวตกในปี 2549 - พ.ศ. 2548
ดาวอังคารใกล้โลก พ.ศ. 2548
จันทรุปราคาบางส่วน: 17 ตุลาคม 2548
ดาวศุกร์พบดาวพฤหัสบดี (สิงหาคม-กันยายน 2548)
ฝนดาวตกเพอร์ซิอัส 2548
ดูดาวพุธตอนเช้ามืด (เมษายน 2548)
ดาวพฤหัสบดีใกล้โลก พ.ศ. 2548
ดาวเสาร์ใกล้โลก พ.ศ. 2548
ดาวเคราะห์ในปี 2548
อุปราคาในปี 2548
ฝนดาวตกในปี 2548 - พ.ศ. 2547
ดาวเคราะห์เรียงลำดับ
ดาวหางมัคโฮลซ์
ฝนดาวตกคนคู่ 2547
ฝนดาวตกสิงโต 2547
ดาวศุกร์เคียงจันทร์ (พฤศจิกายน 2547)
ดาวศุกร์พบดาวพฤหัสบดี (พฤศจิกายน 2547)
ดาวยูเรนัสและเนปจูนในปี 2547
ฝนดาวตกเพอร์ซิอัส 2547
ดาวประกายพรึก (มิถุนายน 2547)
ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์: 8 มิถุนายน 2547
จันทรุปราคาเต็มดวง: 4/5 พฤษภาคม 2547
มีนาคม 2547 – ดูดาวเคราะห์ทั้ง 5 พร้อมกัน
ดาวเสาร์ใกล้โลก พ.ศ. 2546/2547
ดาวเคราะห์ในปี 2547
อุปราคาในปี 2547
ฝนดาวตกในปี 2547 - พ.ศ. 2546
ดาวเสาร์ใกล้โลก พ.ศ. 2546/2547
ฝนดาวตกสิงโต 2546
ฝนดาวตกนายพราน 2546
ดาวพุธผ่านหน้าดวงอาทิตย์: 7 พฤษภาคม 2546
ดาวอังคารใกล้โลก
ดาวเคราะห์ในปี 2546
ดาวหางเองเคอ (2P/Encke)
ดาวเคราะห์น้อยเวสตา พ.ศ. 2546
ดาวหางนีต (C/2002 V1 NEAT)
ดาวหางคุโดะ-ฟุจิกะวะ (C/2002 X5 Kudo-Fujikawa)
ดาวยูเรนัสและเนปจูนในปี 2546
ดวงจันทร์บังดาวเคราะห์ในปี 2546
อุปราคาในปี 2546
ฝนดาวตกในปี 2546 - พ.ศ. 2545
ดาวเสาร์ใกล้โลก 2545
ฝนดาวตกสิงโต 2545
ฝนดาวตกเพอร์ซิอัส 2545
สุริยุปราคา 11 มิถุนายน 2545
ดาวเคราะห์ชุมนุม 2545
ดาวหางอิเคยะ-จาง (C/2002 C1 Ikeya-Zhang)
ดาวเคราะห์ในปี 2545
ดวงจันทร์บังดาวเสาร์: 24 มกราคม 2545
ดวงจันทร์บังดาวเคราะห์ในปี 2545
อุปราคาในปี 2545
ฝนดาวตกในปี 2545 - พ.ศ. 2544
ฝนดาวตกคนคู่ 2544
การกลับมาของฝนดาวตกสิงโต
ดวงจันทร์บังดาวเสาร์: 7 ตุลาคม 2544
ดวงจันทร์บังดาวพฤหัสบดี: 19 กรกฎาคม 2544
จันทรุปราคาบางส่วน 5 กรกฎาคม 2544
ดาวหางลีเนียร์ (C/2001 A2 LINEAR)
จันทรุปราคาเต็มดวง: 9/10 มกราคม 2544
ดาวเคราะห์ในปี 2544
อุปราคาในปี 2544
ฝนดาวตกในปี 2544 - พ.ศ. 2543
จันทรุปราคาเต็มดวง: 16 กรกฎาคม 2543
จันทรุปราคา 28 สิงหาคม 2550
10 สิงหาคม 2550 วรเชษฐ์ บุญปลอด (worachateb@hotmail.com)
ช่วงเวลาหัวค่ำของคืนวันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2550 จะเกิดจันทรุปราคาครั้งที่สองและครั้งสุดท้ายของปีและเป็นอุปราคาครั้งที่ 3 ของปี 2550 สามารถมองเห็นได้ในหลายพื้นที่ของโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่อยู่โดยรอบมหาสมุทรแปซิฟิกและหมู่เกาะต่าง ๆ ภายในมหาสมุทร จันทรุปราคาครั้งนี้เป็นจันทรุปราคาเต็มดวงซึ่งหมายความว่าดวงจันทร์จะเคลื่อนผ่านเข้าไปในเงามืดของโลกหมดทั้งดวง อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ของประเทศไทยจะไม่มีโอกาสเห็นจันทรุปราคาขณะดวงจันทร์ถูกบังหมดดวง เนื่องจากเวลานั้นเป็นเวลากลางวันซึ่งดวงอาทิตย์ยังไม่ตกและดวงจันทร์ยังไม่ขึ้นเหนือขอบฟ้า ยกเว้นพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศที่อาจมีโอกาสสังเกตได้ในช่วงที่ดวงจันทร์ถูกเงามืดบังอยู่ทั้งดวง
ขั้นตอนการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง 28 สิงหาคม 2550 | ||
---|---|---|
เหตุการณ์ | เวลา | มุมเงย ของดวงจันทร์ (ที่กรุงเทพฯ) |
1. ดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงามัวของโลก (ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง) | 14.54 น. | -52° |
2. เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน (ดวงจันทร์เริ่มแหว่ง) | 15.51 น. | -38° |
3. เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง) | 16.52 น. | -24° |
4. กึ่งกลางของปรากฏการณ์ (ดวงจันทร์เข้าไปในเงาลึกที่สุด) | 17.37 น. | -14° |
5. สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์เริ่มออกจากเงามืด) | 18.22 น. | -3° |
6. สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน (ดวงจันทร์ทั้งดวงออกจากเงามืด) | 19.24 น. | 11° |
7. ดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลก | 20.21 น. | 25° |
จันทรุปราคาครั้งนี้เกิดขึ้นขณะดวงจันทร์อยู่ในกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ เริ่มสัมผัสเงามัวของโลกตั้งแต่เวลา 14.54 น. ตามเวลาประเทศไทย เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วนเวลา 15.51 น. เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงเวลา 16.52 น. ดวงจันทร์เข้าไปอยู่ในเงามืดลึกที่สุดเวลา 17.37 น. ทั้งสี่ช่วงเวลาดังกล่าวประเทศไทยไม่มีโอกาสสังเกตได้เนื่องจากยังเป็นเวลากลางวันและดวงจันทร์ยังไม่ขึ้นเหนือขอบฟ้า พื้นที่ของโลกบริเวณที่เริ่มเห็นจันทรุปราคาครั้งนี้ก่อนประเทศไทยคือประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ หมู่เกาะฮาวาย ตะวันออกของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ติมอร์ตะวันออก และด้านตะวันออกของอินโดนีเซีย
เมื่อถึงเวลา 18.22 น. ดวงจันทร์เริ่มพ้นเงามืด เป็นการสิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง กรุงเทพฯ ดวงอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตกพร้อมกับดวงจันทร์ขึ้นทางทิศตะวันออกในเวลา 18.32 น. นั่นหมายความว่าคนกรุงเทพฯ ไม่มีโอกาสเห็นดวงจันทร์ขณะถูกเงาโลกบังหมดทั้งดวง แต่จะเห็นได้ในช่วงเวลาหลังจากนั้น
ในภาคอีสาน เช่น อุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตกเกือบพร้อมกับดวงจันทร์ขึ้นทางทิศตะวันออกในเวลา 18.15-18.16 น. แสดงว่าดวงจันทร์ยังคงอยู่ในเงามืดเมื่อมันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า คาดว่าท้องฟ้าที่ยังสว่างอยู่ ดวงจันทร์ที่มืดสลัวเนื่องจากถูกเงาโลกบดบัง และตำแหน่งที่อยู่ใกล้ขอบฟ้า น่าจะเป็นอุปสรรคทำให้มองเห็นดวงจันทร์ได้ค่อนข้างยากในเวลาดังกล่าว
ขณะที่ดวงจันทร์กำลังขึ้นเหนือขอบฟ้าที่กรุงเทพฯ ดวงจันทร์จะแหว่งประมาณ 3 ใน 4 ของดวง เงามืดของโลกทาบอยู่ด้านบนของดวงจันทร์โดยเยื้องไปทางขวามือ จากนั้นพื้นที่ด้านสว่างจะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นระหว่างที่ดวงจันทร์เคลื่อนออกจากเงาโลก ทั่วประเทศจะเห็นดวงจันทร์กลับมาสว่างเต็มดวงในเวลา 19.24 น. แต่ปรากฏการณ์ยังไม่สิ้นสุดจนกว่าดวงจันทร์จะออกจากเงามัวในเวลา 20.21 น. จันทรุปราคาครั้งนี้ทวีปยุโรป แอฟริกา และเอเชียตะวันตก ไม่สามารถมองเห็นได้
แม้ว่าปรากฏการณ์ในวันที่ 28 สิงหาคม อาจมีอุปสรรคเนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูฝนและดวงจันทร์อยู่ต่ำใกล้ขอบฟ้า แต่ก็เป็นโอกาสดีสำหรับการถ่ายภาพจันทรุปราคาให้ติดมาพร้อมกับทิวทัศน์ใกล้ขอบฟ้า เช่น ต้นไม้ ภูเขา ทะเล หรือสถานที่สำคัญต่าง ๆ
จันทรุปราคาครั้งต่อไปที่เห็นในประเทศไทยเป็นจันทรุปราคาบางส่วน เกิดในคืนวันเสาร์ที่ 16 ต่อเช้ามืดวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม 2551 ดวงจันทร์ถูกบังประมาณ 81%
จันทรุปราคาคืนวันมาฆบูชา : 3/4 มีนาคม 2550
1 มีนาคม 2550 วรเชษฐ์ บุญปลอด (worachateb@hotmail.com)
หลังเที่ยงคืนของคืนวันมาฆบูชาซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 3 มีนาคม ย่างเข้าสู่เช้ามืดวันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2550 ดวงจันทร์จากที่เคยเห็นสว่างเต็มดวงก่อนหน้านั้นจะถูกเงามืดของโลกเข้าบดบัง ทำให้ดวงจันทร์แหว่งและมืดคล้ำลง เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาหรือเรียกอีกอย่างว่าจันทรคราสและราหูอมจันทร์
จันทรุปราคาเป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่เกิดได้ในเฉพาะคืนวันเพ็ญและในจังหวะเวลาที่ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านเข้าไปในเงาโลก เงาที่เกิดขึ้นนี้มีอยู่สองชนิด ได้แก่ เงามืดและเงามัว จันทรุปราคาจึงแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ จันทรุปราคาเต็มดวง จันทรุปราคาบางส่วน และจันทรุปราคาเงามัว
จันทรุปราคาเต็มดวงเกิดเมื่อดวงจันทร์เข้าไปในเงามืดหมดทั้งดวง ดวงจันทร์จึงมืดคล้ำลงมากแต่ไม่มืดสนิท ส่วนใหญ่มีสีส้มแดงหรือน้ำตาล จันทรุปราคาบางส่วนเกิดเมื่อดวงจันทร์เข้าไปในเงามืดเพียงบางส่วนจึงเห็นดวงจันทร์แหว่ง จันทรุปราคาเงามัวเกิดเมื่อดวงจันทร์เข้าไปในเงามัวเท่านั้น ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดผ่านเข้าไปในเงามืด จึงเห็นดวงจันทร์สว่างเต็มดวงอยู่อย่างนั้น ที่ต่างไปจากเดิมคือดวงจันทร์จะลดความสว่างลงเล็กน้อย ดังนั้นมันจึงไม่ค่อยเป็นที่สนใจมากเท่าสองประเภทแรก
จันทรุปราคาครั้งที่จะเกิดขึ้นในคืนวันเสาร์นี้ หากยึดตามหลักการเปลี่ยนวันในเวลาเที่ยงคืนก็จะถือได้ว่าเกิดในวันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2550 ดวงจันทร์เริ่มเข้าไปในเงามัวของโลกตั้งแต่เวลา 3.18 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ดวงจันทร์ปรากฏอยู่เหนือท้องฟ้าทิศตะวันตกในกลุ่มดาวสิงโต กึ่งกลางระหว่างขอบฟ้ากับจุดเหนือศีรษะโดยมีดาวเสาร์อยู่ต่ำลงไป ห่างกันประมาณขนาดของฝ่ามือเมื่อกางมือของเราออกแล้วเหยียดแขนออกไปให้สุด อย่างไรก็ตามเรายังจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นกับดวงจันทร์จนกระทั่งเวลาประมาณ 4.10 น. ขอบดวงจันทร์ด้านซ้ายมือค่อนไปทางด้านบนจะเริ่มคล้ำลงจนสังเกตเห็นได้ ดวงจันทร์มืดสลัวลงทีละน้อยจนเริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วนในเวลา 4.30 น. ซึ่งจะเห็นขอบดวงจันทร์ด้านนี้เริ่มแหว่ง
ก่อนตี 5 ครึ่งเล็กน้อย ดาวเสาร์จะตกลับขอบฟ้าขณะที่ดวงจันทร์แหว่งไปเกินกว่าครึ่งดวง เงามืดของโลกเข้าบังดวงจันทร์ลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเวลา 5.44 น. เป็นเวลาที่ดวงจันทร์ทั้งดวงเคลื่อนเข้าไปในเงามืดของโลกและเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง แสงอาทิตย์ที่หักเหผ่านบรรยากาศโลกไปตกที่พื้นผิวดวงจันทร์ทำให้ดวงจันทร์ไม่มืดสนิทอย่างที่ควรจะเป็น แต่มีสีน้ำตาล สีแดงอิฐ หรือสีส้ม ไม่กี่นาทีต่อมาหลังจากนั้นแสงเงินแสงทองจะเริ่มจับขอบฟ้า ท้องฟ้าจึงค่อย ๆ สว่างขึ้นในขณะที่ดวงจันทร์ยังอยู่ในเงามืดของโลก
เวลา 6.21 น. ดวงจันทร์เข้าไปในเงามืดลึกที่สุดและใกล้จะตกลับขอบฟ้าแล้ว ขณะนี้ท้องฟ้าจะสว่างเป็นสีฟ้า ที่กรุงเทพฯ ดวงอาทิตย์จะขึ้นเหนือขอบฟ้าทิศตะวันออกในเวลา 6.33 น. ส่วนดวงจันทร์จะตกทางทิศตะวันตกในเวลา 6.37 น.
เวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงจันทร์ตกในจังหวัดอื่น ๆ จะต่างไปจากนี้ เช่น เชียงใหม่ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 6.42 น. ดวงจันทร์ตกเวลา 6.46 น. ภูเก็ตดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 6.39 น. ดวงจันทร์ตกเวลา 6.43 น. ส่วนที่อุบลราชธานีดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 6.16 น. ดวงจันทร์ตกเวลา 6.20 น.
ขั้นตอนการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง 4 มีนาคม 2550 | ||
---|---|---|
เหตุการณ์ | เวลา | มุมเงย ของดวงจันทร์ (ที่กรุงเทพฯ) |
1. ดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงามัวของโลก (ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง) | 3.18 น. | 47° |
2. เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน (เริ่มเห็นดวงจันทร์แหว่ง) | 4.30 น. | 29° |
3. เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง) | 5.44 น. | 12° |
ดวงอาทิตย์ขึ้น (อุบลราชธานี) | 6.16 น. | – |
ดวงจันทร์ตก (อุบลราชธานี) | 6.20 น. | – |
4. กึ่งกลางของปรากฏการณ์ (ดวงจันทร์เข้าไปในเงาลึกที่สุด) | 6.21 น. | 3° |
ดวงอาทิตย์ขึ้น (กรุงเทพฯ) | 6.33 น. | – |
ดวงจันทร์ตก (กรุงเทพฯ) | 6.37 น. | – |
ดวงอาทิตย์ขึ้น (ภูเก็ต) | 6.39 น. | – |
ดวงอาทิตย์ขึ้น (เชียงใหม่) | 6.42 น. | – |
ดวงจันทร์ตก (ภูเก็ต) | 6.43 น. | – |
ดวงจันทร์ตก (เชียงใหม่) | 6.46 น. | – |
5. สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์เริ่มออกจากเงามืด) | 6.58 น. | -6° |
6. สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน (ดวงจันทร์ออกจากเงามืดทั้งดวง) | 8.11 น. | -23° |
7. ดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลก | 9.24 น. | -40° |
จุดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งสำหรับจันทรุปราคาครั้งนี้ก็คือ ดวงจันทร์ถูกเงาโลกบังหมดทั้งดวงในขณะที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากกลางคืนไปสู่กลางวัน จึงเป็นไปได้ว่าขณะที่ดวงจันทร์เข้าไปในเงามืดลึกที่สุดนี้ ท้องฟ้าจะสว่างมากจนเราอาจไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้หรือเห็นได้เพียงลาง ๆ ให้ลองสังเกตดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าและด้วยทัศนูปกรณ์ที่มีอยู่ เช่น กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลา 6.00 – 6.40 น. และเนื่องจากปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่ดวงจันทร์กำลังจะตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ดังนั้นหากต้องการสังเกตให้ชัดเจนควรหาสถานที่ที่ไม่มีสิ่งใดบดบังขอบฟ้าทิศดังกล่าว หรือหากเป็นไปได้อาจสังเกตจากตึกสูง
นอกจากประเทศไทยแล้วบางส่วนของทุกทวีปในโลกมีโอกาสเห็นจันทรุปราคาครั้งนี้ด้วยพร้อม ๆ กัน ตัวอย่างเช่น ทวีปยุโรปและแอฟริกาเห็นขณะเริ่มเกิดปรากฏการณ์ในค่ำวันที่ 3 มีนาคมตามเวลาท้องถิ่น อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้เห็นได้ในค่ำวันเดียวกันแต่เป็นช่วงท้ายของปรากฏการณ์ขณะดวงจันทร์ขึ้นทางทิศตะวันออก ส่วนในเอเชียตะวันออก ตอนกลางของจีน และตะวันตกของออสเตรเลียจะเห็นได้ในเช้ามืดวันที่ 4 มีนาคมขณะดวงจันทร์ใกล้จะตกเช่นเดียวกับประเทศไทย
จันทรุปราคาครั้งนี้นับเป็นจันทรุปราคาเต็มดวงครั้งแรกในรอบ 3 ปีสำหรับคนไทยในประเทศ และเป็นอุปราคาครั้งแรกจากทั้งหมด 4 ครั้งที่เกิดในปีนี้ อีก 15 วันถัดไป เช้าวันจันทร์ที่ 19 มีนาคมจะเกิดสุริยุปราคาบางส่วนเห็นได้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย และหากท้องฟ้าเปิดไม่มีเมฆฝนเป็นอุปสรรคเราจะมีโอกาสเห็นจันทรุปราคาในช่วงเวลาหัวค่ำของวันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2550
ประมาณค่าความสว่างของดวงจันทร์
เราสามารถคะเนความสว่างและสีของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงได้โดยการสังเกตดวงจันทร์ด้วยตาเปล่า ความสว่างของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงแบ่งได้ตามมาตราดองชง (Danjon’s scale) ตั้งชื่อตามนักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่เป็นผู้ริเริ่มกำหนดมาตรานี้ เรียกย่อ ๆ ว่าค่าแอล (L) มีค่าจาก 0 ถึง 4 และสามารถประมาณค่าเป็นทศนิยมได้ สีและความสว่างของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงแต่ละครั้งมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ระยะห่างระหว่างดวงจันทร์กับศูนย์กลางเงา ปริมาณเมฆและฝุ่นละอองในบรรยากาศโลก โดยมีเกณฑ์กำหนดดังที่แสดงในตาราง ถ้าจะให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุด อาจทำการประมาณค่าแอลทุก ๆ 10-20 นาที นับตั้งแต่ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง
จันทรุปราคาบางส่วน : 7/8 กันยายน 2549
วรเชษฐ์ บุญปลอด (worachateb@hotmail.com)
คืนวันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน 2549 ถ้าไม่มีฝนตกและท้องฟ้าเปิด คนไทยจะมีโอกาสเห็นปรากฏการณ์จันทรุปราคาหรือจันทรคราสซึ่งเกิดเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนผ่านเข้าไปในเงามืดของโลก ครั้งนี้ดวงจันทร์แหว่งแค่บางส่วน เกิดในช่วงเวลา 1.05 – 2.38 น. (เข้าสู่เช้ามืดวันที่ 8 กันยายน) สามารถมองเห็นได้ทั่วประเทศ
ดาราศาสตร์แบ่งจันทรุปราคาออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ จันทรุปราคาเต็มดวง จันทรุปราคาบางส่วน และจันทรุปราคาเงามัว จันทรุปราคาเต็มดวงหมายถึงจันทรุปราคาที่ดวงจันทร์เข้าไปในเงามืดหมดทั้งดวง ดวงจันทร์มืดสลัวลงมาก และมีสีส้มหรือน้ำตาล จันทรุปราคาบางส่วนเกิดเมื่อดวงจันทร์ถูกเงามืดของโลกบดบังเพียงบางส่วนของดวง ส่วนจันทรุปราคาเงามัวเกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์ผ่านเข้าไปในเงามัวเท่านั้น จันทรุปราคาชนิดสุดท้ายนี้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับดวงจันทร์ได้ยากจึงไม่ค่อยน่าสนใจ
สำหรับจันทรุปราคาในคืนวันพฤหัสบดีนี้ คาดว่าน่าจะเริ่มสังเกตเห็นดวงจันทร์มืดสลัวลงตั้งแต่เวลาประมาณ 0.50 น. โดยขอบด้านขวาบนของดวงจันทร์จะเริ่มคล้ำลงก่อน เมื่อเริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วนในเวลา 1.05 น. ขอบดวงจันทร์ด้านนี้จะแหว่งเพราะถูกเงาโลกกินลึกเข้าไป
เวลา 1.51 น. ดวงจันทร์เข้าไปในเงาลึกที่สุด เราจะเห็นด้านทิศเหนือของดวงจันทร์ (ขวามือ) แหว่งไปเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 5 ของเส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์ จากนั้นดวงจันทร์จะค่อย ๆ กลับมาเต็มดวงโดยคาดว่าน่าจะเห็นดวงจันทร์เป็นดวงกลมสมบูรณ์อีกครั้งในเวลา 2.38 น. รวมเกิดจันทรุปราคาบางส่วนนาน 1 ½ ชั่วโมง
นอกจากประเทศไทยแล้ว ส่วนอื่นของโลกที่เห็นปรากฏการณ์นี้พร้อมกัน ได้แก่ บางส่วนของทวีปแอนตาร์กติกา ประเทศในทวีปเอเชีย ออสเตรเลีย แอฟริกา และยุโรปตะวันออก
จันทรุปราคาบางส่วน : 17 ตุลาคม 2548
วรเชษฐ์ บุญปลอด (worachateb@hotmail.com)
หลังดวงอาทิตย์ตกของคืนวันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2548 หากท้องฟ้าไม่มีเมฆมากนัก เราจะมองเห็นปรากฏการณ์จันทรุปราคาบางส่วน ซึ่งพื้นผิวส่วนหนึ่งของดวงจันทร์จะผ่านเข้าไปในเงามืดของโลก ทำให้ดวงจันทร์ที่ปกติสว่างเต็มดวง มีการแหว่งเว้าที่ขอบดวงเข้าไปเล็กน้อย จันทรุปราคาเกิดขึ้นระหว่างเวลา 18.34 น. ถึง 19.32 น. ดวงจันทร์จะแหว่งมากที่สุดในเวลา 19.03 น. แล้วค่อย ๆ กลับมาเต็มดวงอีกครั้ง
นอกจากประเทศไทย ส่วนอื่นของโลกที่เห็นปรากฏการณ์นี้พร้อมกัน ได้แก่ บางส่วนของทวีปแอนตาร์กติกา ออสเตรเลีย ตอนกลางและทางตะวันออกของทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกาเหนือยกเว้นด้านตะวันออก และอเมริกากลาง
จันทรุปราคาเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันเพ็ญขณะที่โลกอยู่ตรงกลางระหว่างดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ แต่ไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้งที่จันทร์เพ็ญเนื่องจากส่วนใหญ่ดวงจันทร์ไม่ผ่านเข้าไปในเงาโลก อันเป็นผลจากการที่ระนาบวงโคจรของดวงจันทร์กับระนาบวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ไม่ซ้อนทับกัน แต่ทำมุมเอียงประมาณ 5 องศา ทำให้เกิดจุดตัด 2 จุดในรอบปี ที่ทำให้มีโอกาสเกิดอุปราคาขึ้นได้
จันทรุปราคาครั้งถัดไปที่มองเห็นได้ในประเทศไทยเป็นจันทรุปราคาบางส่วนอีกเช่นกัน ซึ่งเกิดขึ้นในกลางดึกของคืนวันที่ 7/8 กันยายน พ.ศ. 2549
จันทรุปราคาเต็มดวง : 4/5 พฤษภาคม 2547
วรเชษฐ์ บุญปลอด (worachateb@hotmail.com)
คืนวันอังคารที่ 4 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ หากไม่มีฝนตกและท้องฟ้าโปร่ง เราจะมีโอกาสมองเห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่าจันทรุปราคา หรือที่ชาวบ้านทั่วไปมักรู้จักกันในชื่อ “ราหูอมจันทร์” หรือ “จันทรคราส” สามารถมองเห็นได้ในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน (วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 5 พ.ค.) นับเป็นจันทรุปราคาเต็มดวงครั้งแรกในรอบ 3 ปีสำหรับคนไทยในประเทศ และเป็นอุปราคาครั้งเดียวของปี 2547 ที่คนไทยจะได้เห็น (ปีนี้มีจันทรุปราคาอีก 1 ครั้ง และสุริยุปราคาอีก 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถมองเห็นได้จากประเทศไทย)
โลกและดวงจันทร์เป็นวัตถุที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง แสงอาทิตย์ที่ส่องมาถึงโลก ทำให้เกิดเงาทอดออกไปในอวกาศในทิศทางตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์ เมื่อดวงจันทร์โคจรผ่านเข้าไปในเงาโลก จะทำให้เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา ดวงจันทร์ที่เคยสว่างเต็มดวงจะแหว่งเว้าเนื่องจากถูกบดบังด้วยเงาของโลก จันทรุปราคามีโอกาสเกิดขึ้นได้เฉพาะในคืนวันเพ็ญที่ดวงจันทร์สว่างเต็มดวง
แม้ว่าดวงจันทร์จะเพ็ญเดือนละครั้งแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดจันทรุปราคาได้ทุกเดือน สาเหตุเนื่องจากในคืนวันเพ็ญ ส่วนใหญ่แล้วดวงจันทร์ไม่ได้มีเส้นทางผ่านเข้าไปในเงาของโลก ซึ่งเป็นผลจากการที่ระนาบวงโคจรของดวงจันทร์ไม่ได้ซ้อนทับกับระนาบวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์
จันทรุปราคามีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ จันทรุปราคาเต็มดวง จันทรุปราคาบางส่วน และจันทรุปราคาแบบเงามัว จันทรุปราคาเต็มดวงหมายถึงจันทรุปราคาที่ดวงจันทร์เข้าไปในเงามืดหมดทั้งดวง ดวงจันทร์มืดสลัวลงมาก และมีสีส้มหรือน้ำตาล ส่วนจันทรุปราคาบางส่วนเกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์ถูกเงามืดของโลกบดบังไปเพียงบางส่วนของตัวดวง จันทรุปราคาแบบเงามัวจะเกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์ผ่านเข้าไปในเงามัวเท่านั้น จันทรุปราคาชนิดสุดท้ายนี้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับดวงจันทร์ได้ยาก
ขั้นตอนการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง คืนวันที่ 4/5 พฤษภาคม 2547 | ||
---|---|---|
เหตุการณ์ | เวลา | มุมเงย ของดวงจันทร์ |
1. ดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงามัวของโลก (ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง) | 00.51 น. | 58° |
2. เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน (เริ่มเห็นดวงจันทร์แหว่ง) | 01.48 น. | 51° |
3. เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง) | 02.52 น. | 40° |
4. กึ่งกลางของปรากฏการณ์ (ดวงจันทร์เข้าไปในเงาลึกที่สุด) | 03.30 น. | 32° |
5. สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์ออกจากเงามืด) | 04.08 น. | 24° |
6. สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน (ดวงจันทร์กลับมาเต็มดวง) | 05.12 น. | 10° |
7. ดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลก | 06.09 น. | -3° |
จันทรุปราคาครั้งนี้คล้ายกับจันทรุปราคาเต็มดวงครั้งที่แล้วที่มองเห็นเมื่อคืนวันที่ 9 มกราคม 2544 คือ เริ่มเกิดในขณะที่ดวงจันทร์อยู่สูงจากขอบฟ้าทิศตะวันตก แม้ว่าดวงจันทร์จะเริ่มเข้าไปในเงามัวตั้งแต่เวลา 0.51 น. แต่เราจะเริ่มสังเกตเห็นความสว่างของดวงจันทร์ที่ลดลงได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 1.30 น. หลังจากเวลานี้ ขอบด้านบนค่อนไปทางซ้ายมือของดวงจันทร์จะเริ่มคล้ำลงมากขึ้น จนเวลา 1.48 น. จึงจะเห็นว่าขอบดวงจันทร์ด้านดังกล่าวถูกเงาโลกกินลึกเข้าไปเล็กน้อยเป็นจังหวะที่เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน เมื่อเวลาผ่านไป เงาโลกที่ทอดตกลงบนดวงจันทร์จะเริ่มเคลื่อนมาทางขวามืออย่างช้าๆ กระทั่งเวลา 2.45 น. จะเห็นดวงจันทร์เหลือส่วนสว่างอยู่ทางด้านล่าง ณ เวลานี้ ดวงจันทร์ส่วนที่เงาโลกบังอยู่จะเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย
คนที่ดูดวงจันทร์ด้วยกล้องโทรทรรศน์หรือกล้องสองตาอาจมองเห็นว่าส่วนของดวงจันทร์ที่อยู่ในเงามืดแลดูสว่างขึ้น จนเวลา 2.52 น. เงามืดจะเริ่มบังดวงจันทร์ไว้หมดทั้งดวง แสงอาทิตย์ที่หักเหในบรรยากาศโลกและไปตกลงบนดวงจันทร์ จะทำให้ดวงจันทร์มีสีน้ำตาล สีแดงอิฐ หรือสีส้ม เป็นจังหวะที่เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์จะผ่านใกล้จุดศูนย์กลางของเงามืดของโลกมากที่สุดในเวลา 3.30 น. หลังจากที่เงามืดบดบังดวงจันทร์อยู่นาน 1 ชั่วโมง 16 นาที จันทรุปราคาเต็มดวงจะสิ้นสุดลงในเวลา 4.08 น. หลังจากนั้นจะกลายเป็นจันทรุปราคาบางส่วน เราจะเห็นเงามืดเคลื่อนออกจากดวงจันทร์จนเวลา 5.12 น. จึงสิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน ซึ่งเป็นเวลาที่ดวงจันทร์เกือบจะตกและท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นแล้ว
ประมาณค่าความสว่างของดวงจันทร์
เราสามารถคะเนความสว่างและสีของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงได้โดยการสังเกตดวงจันทร์ด้วยตาเปล่า ความสว่างของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงแบ่งได้ตามมาตราดองชง (Danjon’s scale) ตั้งชื่อตามนักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่เป็นผู้ริเริ่มกำหนดมาตรานี้ เรียกย่อ ๆ ว่าค่าแอล (L) มีค่าจาก 0 ถึง 4 และสามารถประมาณค่าเป็นทศนิยมได้ สีและความสว่างของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงแต่ละครั้งมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ระยะห่างระหว่างดวงจันทร์กับศูนย์กลางเงา ปริมาณเมฆและฝุ่นละอองในบรรยากาศโลก โดยมีเกณฑ์กำหนดดังที่แสดงในตาราง ถ้าจะให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุด อาจทำการประมาณค่าแอลทุก ๆ 10-20 นาที นับตั้งแต่ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง
สำหรับจันทรุปราคาครั้งนี้ ขณะดวงจันทร์เข้าไปในเงาลึกที่สุดในเวลา 3.30 น. น่าจะเห็นว่าด้านทิศใต้ของดวงจันทร์ซึ่งอยู่ทางด้านล่างค่อนมาทางซ้ายมือเมื่อเทียบกับขอบฟ้ามีความสว่างมากกว่าด้านตรงข้าม หลังจากปีนี้ ประเทศไทยจะเห็นจันทรุปราคาบางส่วนในปี พ.ศ. 2548-49 และจันทรุปราคาเต็มดวงในปี พ.ศ. 2550
จันทรุปราคาบางส่วน : 5 กรกฎาคม 2544
วรเชษฐ์ บุญปลอด (worachateb@hotmail.com)
เรามักพบว่ามีจันทรุปราคาเกิดขึ้นใกล้กับวันที่เกิดสุริยุปราคา ในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน
สองสัปดาห์หลังจากการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่มองเห็นได้ในแอฟริกาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน หากว่าท้องฟ้าในค่ำของวันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2544 ปลอดโปร่งเพียงพอ คนไทยจะสามารถมองเห็นจันทรุปราคาบางส่วนได้ โดยที่ดวงจันทร์จะผ่านเข้าไปในเงามืดของโลกโดยเงาโลกไม่ได้บดบังดวงจันทร์ทั้งดวง ทำให้ดวงจันทร์เหลือส่วนสว่างมากกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นผิวด้านที่หันเข้าหาโลก
ขั้นตอนการเกิดจันทรุปราคาบางส่วน 5 กรกฎาคม 2544 | ||
---|---|---|
เหตุการณ์ | เวลา | มุมเงยของดวงจันทร์ |
1. ดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงามัวของโลก | 19.11 น. | 6° |
2. เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน (เริ่มเห็นดวงจันทร์แหว่ง) | 20.35 น. | 23° |
3. กึ่งกลางของการเกิด (บังลึกที่สุด) | 21.55 น. | 38° |
4. สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน (ดวงจันทร์กลับมาเต็มดวง) | 23.15 น. | 49° |
5. ดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลก | 00.40 น. | 52° |
จันทรุปราคาบางส่วนจะเริ่มต้นขึ้นในเวลา 20.35 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ดวงจันทร์เริ่มถูกกินลึกเข้าไปโดยเงามืดของโลก แต่ก็สามารถสังเกตเห็นความสว่างที่ลดลงของดวงจันทร์ได้ตั้งแต่เวลาก่อนหน้านี้ ดวงจันทร์จะปรากฏอยู่ในกลุ่มดาวคนยิงธนูทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากนี้ดวงจันทร์จะเหลือส่วนสว่างลดลงเรื่อยๆ จนถูกบังลึกที่สุดในเวลา 21.55 น. ในช่วงเวลานี้จะสังเกตได้ว่าเงามืดของโลกบังดวงจันทร์อยู่ครึ่งหนึ่งพอดีเมื่อวัดตามแนวเส้นผ่านศูนย์กลาง แต่เราจะเห็นว่าดวงจันทร์มีพื้นที่สว่างมากกว่าครึ่งดวงเนื่องจากเงาของโลกมีขอบโค้งตามรูปร่างที่เกือบเป็นทรงกลมของโลก จากนั้นดวงจันทร์จึงเคลื่อนออกจากเงามืดจนกลับมาสว่างเต็มดวงในเวลา 23.15 น. ดวงจันทร์จะยังไม่สว่างเต็มที่จนกว่าจะออกจากเงามัวในเวลา 00.40 น. นอกจากประเทศไทยแล้ว ยังมีส่วนอื่นของโลกที่เห็นปรากฏการณ์นี้พร้อมกันด้วย คือ ด้านตะวันออกของอาฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ฮาวาย และแอนตาร์กติก
สำหรับลักษณะโดยทั่วไปของดวงจันทร์ขณะถูกบังลึกที่สุดนั้น น่าจะพอมองเห็นพื้นผิวของดวงจันทร์ในส่วนที่เงาของโลกบดบังอยู่ได้คล้ายกับที่เห็นขณะเกิดจันทรุปราคาเมื่อต้นปีนี้ จันทรุปราคาเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันเพ็ญขณะที่โลกอยู่ตรงกลางระหว่างดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ แต่ไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้งที่ดวงจันทร์เพ็ญเต็มดวงเนื่องจากส่วนใหญ่ดวงจันทร์จะอยู่เหนือหรือใต้เงาของโลกซึ่งเป็นผลจากวงโคจรของดวงจันทร์ที่ไม่ได้ซ้อนทับกับวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์
จันทรุปราคาเต็มดวง : 9/10 มกราคม 2544
มกราคม 2544 วรเชษฐ์ บุญปลอด (worachateb@hotmail.com)
เดือนนี้มีปรากฏการณ์พิเศษบนท้องฟ้าที่ไม่ควรพลาด จันทรุปราคาเต็มดวงจะเกิดขึ้นในค่ำคืนของวันอังคารที่ 9 มกราคม 2544 ซึ่งเป็นอุปราคาครั้งแรกของปี เหตุผลที่จันทรุปราคาครั้งนี้เป็นครั้งที่พลาดไม่ได้เนื่องจากหลังจากคืนวันนี้ไปเป็นเวลาอีกนานถึง 3 ปีที่คนไทยในประเทศจะไม่ได้เห็นจันทรุปราคาเต็มดวงอีก โดยครั้งถัดไปจะเกิดในวันที่ 4 พฤษภาคม 2547
ขั้นตอนการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง 10 มกราคม 2544 | ||
---|---|---|
เหตุการณ์ | เวลา | มุมเงยของดวงจันทร์ |
1. ดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงามัวของโลก | 00.43 น. | 79° |
2. เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน (เริ่มเห็นดวงจันทร์แหว่ง) | 01.42 น. | 69° |
3. เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง) | 02.49 น. | 54° |
4. กึ่งกลางของการเกิด | 03.20 น. | 47° |
5. สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์ออกจากเงามืด) | 03.51 น. | 40° |
6. สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน (ดวงจันทร์กลับมาเต็มดวง) | 04.59 น. | 25° |
7. ดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลก | 05.58 น. | 12° |
จากตารางเวลาและมุมเงยของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาจะเห็นว่า จันทรุปราคาเริ่มเกิดในขณะที่ดวงจันทร์อยู่สูงจากขอบฟ้า ดวงจันทร์จะปรากฏอยู่เหนือท้องฟ้าทางด้านทิศตะวันตกซึ่งตรงข้ามกับครั้งที่เกิดขึ้นเมื่อกลางปีที่แล้ว และจันทรุปราคาเต็มดวงครั้งนี้เงามืดของโลกจะบังดวงจันทร์อยู่เป็นระยะเวลานาน 1 ชั่วโมง 2 นาที คาดว่าความสว่างของดวงจันทร์ขณะถูกบังหมดดวงจะใกล้เคียงกับจันทรุปราคาเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2541 ซึ่งดวงจันทร์เป็นสีส้มและมีความสว่างค่อนข้างมาก
แม้ว่าดวงจันทร์จะเริ่มเข้าไปในเงามัวตั้งแต่เวลา 0.43 น. แต่เราจะยังไม่พบความผิดปกติใด ๆ ในขณะนี้ คาดว่าน่าจะสังเกตเห็นความสว่างของดวงจันทร์ที่ลดลงได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 1.30 น. หรือก่อนหน้านั้น ซึ่งหลังจากนี้ไปขอบด้านบนของดวงจันทร์จะเริ่มคล้ำลงมากขึ้น ๆ จนเวลา 1.42 น. ก็จะเริ่มเห็นว่าขอบด้านดังกล่าวของดวงจันทร์ถูกเงาโลกกินลึกเข้าไปเล็กน้อยเป็นจังหวะที่เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน
เมื่อเวลาผ่านไปจะเห็นเงาโลกบนดวงจันทร์เริ่มเคลื่อนมาทางซ้าย กระทั่งเวลา 2.45 น. จะเห็นดวงจันทร์เหลือส่วนสว่างอยู่ทางขวามือด้านล่าง ขณะนี้ดวงจันทร์ส่วนที่เงาโลกบังอยู่จะเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย กล้องโทรทรรศน์หรือกล้องสองตาอาจมองเห็นความสว่างในเงามืดได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ จนเวลา 2.49 น. เงามืดจะบังดวงจันทร์ไว้หมดทั้งดวง ซึ่งแสงที่หักเหในบรรยากาศโลกที่ไปตกลงบนดวงจันทร์จะทำให้ดวงจันทร์สว่างมีสีส้ม เป็นจังหวะที่เรียกว่าเริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ขณะนี้ขอให้สังเกตทางด้านทิศใต้ (ซ้ายมือ) ใกล้ขอบดวงจันทร์ มีดาวฤกษ์ความสว่าง 3.5 อยู่ตรงนั้น ดาวดวงนี้คือดาวเดลตาคนคู่
ดวงจันทร์จะผ่านใกล้จุดศูนย์กลางเงามืดของโลกมากที่สุดในเวลา 3.20 น. และจันทรุปราคาเต็มดวงจะสิ้นสุดลงในเวลา 3.51 น. หลังจากนั้นจะกลายเป็นจันทรุปราคาบางส่วน เงามืดเริ่มเคลื่อนออกจากดวงจันทร์จนเวลา 4.59 น. จึงสิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน ดวงจันทร์ยังคงมืดสลัวกว่าปกติต่อไปอีกอย่างน้อย 15 นาที และดวงจันทร์จะออกจากเงามัวของโลกในช่วงก่อนรุ่งเช้าของวันที่ 10 มกราคม
ประมาณค่าความสว่างของดวงจันทร์
การวัดความสว่างและสีของดวงจันทร์ทำได้ด้วยการสังเกตด้วยตาเปล่า ความสว่างของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงแบ่งได้ตามมาตราดองชง (Danjon’s scale) เรียกง่าย ๆ ว่าค่า แอล (L) มีค่าจาก 0 ถึง 4 ซึ่งประมาณค่าเป็นทศนิยมได้ สีและความสว่างของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงแต่ละครั้งมีความแตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง อาทิ ระยะห่างระหว่างดวงจันทร์กับศูนย์กลางเงา ปริมาณเมฆและฝุ่นละอองเถ้าถ่านในบรรยากาศโลก เราอาจประมาณค่าแอลได้จากตาราง และถ้าจะให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุด อาจทำการประมาณค่าแอลทุก ๆ 10-20 นาที นับตั้งแต่ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง
สำหรับจันทรุปราคาครั้งนี้ คาดหมายว่าค่าแอล ณ เวลากึ่งกลางของการเกิดน่าจะอยู่ระหว่าง 3.5-4.0 คือ ดวงจันทร์มีสีทองแดงหรือสีส้ม เนื่องจากดวงจันทร์อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของเงามืด โดยน่าจะเห็นได้ว่าด้านทิศเหนือของดวงจันทร์ซึ่งอยู่ทางขวามือเมื่อเทียบกับของฟ้าประเทศไทย มีความสว่างมากกว่าด้านตรงข้าม
จันทรุปราคาเต็มดวง : 16 กรกฎาคม 2543
วรเชษฐ์ บุญปลอด (worachateb@hotmail.com)
เมื่อคืนวันที่ 16 กันยายน 2540 หลายคนที่เฝ้าติดตามดูจันทรุปราคาเต็มดวงในค่ำคืนนั้นคงพอจำได้ดีว่า คราสเต็มดวงตลอดหนึ่งชั่วโมงในคืนวันนั้นเป็นสีแดงส้ม ถือได้ว่าเป็นจันทรุปราคาเต็มดวงที่สว่างมากทีเดียว แต่จันทรุปราคาเต็มดวงที่จะเกิดขึ้นในคืนวันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นจันทรุปราคาที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลายาวนานที่สุด คือ 1 ชั่วโมง 47 นาที ยาวนานกว่าจันทรุปราคาเต็มดวงครั้งใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในสหัสวรรษหน้า คาดว่าจะเป็นจันทรุปราคาเต็มดวงที่มืดสลัวกว่าครั้งที่แล้วด้วย
เนื่องจากจันทรุปราคาครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาหัวค่ำดังนั้นดวงจันทร์จึงอยู่ไม่สูงมากนักจากขอบฟ้า โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง คนไทยในประเทศน่าจะเริ่มเห็นดวงจันทร์ทางทิศตะวันออกได้ในเวลาประมาณ 19.00 น. หรือหลังจากนั้นไม่นาน ซึ่งดวงจันทร์ได้เข้าสู่เงามืดของโลกไปบางส่วนแล้ว โดยสังเกตได้ว่าขอบด้านล่างของดวงจันทร์มีลักษณะมืดคล้ำลง เงามืดของโลกจะกินลึกเข้าไปมากขึ้นจนกระทั่งเวลาใกล้ 20.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ดวงจันทร์เกือบจะถูกบังเต็มดวงแล้ว ในช่วงนี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงของสีและความมืดสลัวของเงามืด โดยเงามืดที่ปรากฏบนพื้นผิวดวงจันทร์อาจดูสว่างขึ้นเล็กน้อย และมีสีออกน้ำตาลปนเทา เนื่องจากแสงที่หักเหในบรรยากาศโลกเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นบนพื้นผิวดวงจันทร์
จากนั้น 20.02 น. เป็นเวลาที่เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง แม้ว่าขณะนี้ดวงจันทร์ได้ถูกเงาของโลกบดบังหมดทั้งดวง แต่ดวงจันทร์จะสว่างพอที่จะมองเห็นได้ และมีสีแดง ส้ม หรือเหลือง และบางส่วนอาจมีสีฟ้าหรือสีอื่นนอกจากนี้ ขณะนี้ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนเข้าสู่ใจกลางของเงาโลก ซึ่งตามธรรมชาติแล้วดวงจันทร์ก็น่าจะมีความสว่างที่ลดลงมากกว่านี้ เวลา 20.56 น. เป็นเวลาที่ดวงจันทร์เข้าใกล้ศูนย์กลางเงามากที่สุดและจะเริ่มออกห่างศูนย์กลางเงานับจากนี้
ในขณะที่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง นักดาราศาสตร์มีวิธีวัดความสว่างและสีของดวงจันทร์ซึ่งกระทำได้ง่ายด้วยการสังเกตด้วยตาเปล่า ตามมาตราของดองชง (Danjon’s scale) เรียกง่ายๆ ว่าค่าแอล (L) สีและความสว่างของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงแต่ละครั้ง มีความแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ อาทิระยะห่างระหว่างดวงจันทร์กับศูนย์กลางเงา ปริมาณเมฆและฝุ่นละอองเถ้าถ่านในบรรยากาศโลก เราอาจประมาณค่าแอลได้จากตารางและถ้าจะให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุด อาจทำการประมาณค่าแอลทุกๆ 10-20 นาที นับตั้งแต่ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง
สำหรับจันทรุปราคาครั้งนี้ ผู้เขียนได้เคยคาดหมายความสว่างของดวงจันทร์ ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมฯ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2543 และนิตยสารอัพเดทฉบับเดือนมิถุนายนว่า
“…ค่าแอล ณ เวลากึ่งกลางของการเกิดน่าจะใกล้เคียงกับ 1.0 คือ ดวงจันทร์มืด มีสีเทาหรือน้ำตาล มองเห็นรายละเอียดบนพื้นผิวได้ยาก ทั้งนี้เนื่องจากดวงจันทร์เข้าไปใกล้ศูนย์กลางเงามาก และฝุ่นละอองเถ้าถ่านจากการปะทุของภูเขาไฟมายันในฟิลิปปินส์และภูเขาไฟอูสุบนเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อาจมีผลให้บรรยากาศในระดับสูงมีความทึบมากกว่าปกติได้ ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตคือการที่ภูเขาไฟปินาตุโบในฟิลิปปินส์ ทำให้จันทรุปราคาเต็มดวงที่เกิดขึ้นในช่วงหลังปี พ.ศ. 2534 มีความสว่างและสีผิดปกติ อย่างไรก็ตามหากปริมาณเถ้าถ่านจากภูเขาไฟยังไม่มากพอหรือกระจายตัวน้อยจนเกือบไม่มีผลกับบรรยากาศ เราก็ยังคงเชื่อมั่นได้ว่าจันทรุปราคาเต็มดวงครั้งนี้จะมืดกว่าครั้งที่เกิดขึ้นล่าสุดที่มองเห็นในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2540…”
อย่างไรก็ตาม จากความเห็นของ Alan M. MacRobert ซึ่งมีโอกาสมองเห็นจันทรุปราคาเต็มดวงครั้งล่าสุด (ที่มองไม่เห็นในประเทศไทย) ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Sky & Telescope อ้างถึงการที่จันทรุปราคาเต็มดวงเมื่อวันที่ 20-21 มกราคม 2543 มีความสว่างมาก ทำให้ตีความได้ว่าจันทรุปราคาครั้งนี้อาจมีแนวโน้มที่จะสว่างมากกว่าที่ผู้เขียนคาดหวังไว้ข้างต้น ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะทำให้ค่าแอลอาจมีค่าราว ๆ 2 หรือมากกว่าก็เป็นได้ โดยผู้เขียนยังคงเชื่อว่าหากเปรียบเทียบความสว่างของดวงจันทร์ครั้งนี้กับ ครั้งที่เกิดในปี พ.ศ. 2540 ก็น่าจะพบว่าคราวนี้ดวงจันทร์มืดกว่าครั้งที่แล้ว และน่าจะสังเกตเห็นความแตกต่างได้
ขั้นตอนการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง 16 กรกฎาคม 2543 | ||
---|---|---|
เหตุการณ์ | เวลา | มุมเงย ของดวงจันทร์ |
1. ดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงามัวของโลก | 17.47 น. | -13° |
2. เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน (เริ่มเห็นดวงจันทร์แหว่ง) | 18.57 น. | 3° |
3. เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง) | 20.02 น. | 16° |
4. กึ่งกลางของการเกิด | 20.56 น. | 27° |
5. สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์ออกจากเงามืด) | 21.49 น. | 37° |
6. สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน (ดวงจันทร์กลับมาเต็มดวง) | 22.54 น. | 48° |
7. ดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลก | 00.04 น. | 54° |
จันทรุปราคาเต็มดวงจะสิ้นสุดลงในเวลา 21.49 น. ทันทีที่บางส่วนของดวงจันทร์ออกจากเงามืดของโลก ขอบดวงจันทร์ด้านล่างจะสว่างขึ้นและหลังจากนั้นจะกลายเป็นจันทรุปราคาบางส่วน โดยดวงจันทร์เริ่มปรากฏเต็มดวงมากขึ้นๆ จนกระทั่งเวลา 22.54 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ดวงจันทร์กลับมาเต็มดวงสมบูรณ์เช่นเดิม อย่างไรก็ตามถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าดวงจันทร์ยังคงดูมืดสลัวกว่าจันทร์เพ็ญปกติต่อไปอีกอย่างน้อย 15 นาที และจันทรุปราคาจะสิ้นสุดลงอย่างแท้จริงเมื่อดวงจันทร์ออกจากเงามัวของโลกในเวลาหลังเที่ยงคืนไม่นาน
จันทรุปราคาเต็มดวง 4 เมษายน 2558
25 มีนาคม 2558
ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายนเป็นช่วงฤดูอุปราคาครั้งแรกของปีนี้ ซึ่งหลังจากที่เกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงไปแล้วเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2558 คราวนี้ก็มาถึงคิวของปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 4 เมษายน นี้ ถ้าหากเราลองนับวันที่เกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาครั้งล่าสุดมาถึงวันเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาพบว่าห่างกันเป็นระยะเวลา 15 วันพอดี สำหรับปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงครั้งนี้เป็นปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงครั้งแรกและครั้งเดียวที่คนไทยจะได้เห็นในปี พ.ศ. 2558 นี้
ปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงครั้งแรกและครั้งเดียวที่คนไทยจะได้เห็นในปี พ.ศ. 2558 นี้ จะเกิดขึ้นในช่วงหัวค่ำของวันที่ 4 เมษายน 2558 โดยปรากฏการณ์จันทรุปราคาครั้งนี้ เป็นชุดซารอสที่ 132 ซึ่งเกิดเป็นครั้งที่ 30 ของซารอส จากทั้งหมด 71 ครั้ง โดยปรากฏการณ์จันทรุปราคาชุดซารอสที่ 132 เกิดครั้งล่าสุดเมื่อ วันที่ 24 มีนาคม 2540 หรือเมื่อ 18 ปีก่อน และในครั้งนี้ จะเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา โดยใช้เวลารวมทั้งหมดในการเกิดอุปราคาประมาณ 3 ชั่วโมง 29 นาที และขณะที่ดวงจันทร์จะอยู่ในเงามืดของโลกทั้งดวงนานประมาณ 5 นาที ความสว่างของดวงจันทร์จะลดลงเหลือเพียง 1.0008
ปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มในวันที่ 4 เมษายน 2558 นี้ เกิดขึ้นก่อนที่ดวงจันทร์จะขึ้นโผล่พ้นจากขอบฟ้า
ตารางที่ 1 เวลาเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาในประเทศไทย วันที่ 4 เมษายน 2558
เหตุการณ์ | เวลา (น.) | หมายเหตุ |
เริ่มเกิดอุปราคาเงามัว (P1) | 16:01 | ไม่เห็น |
เริ่มเกิดอุปราคาบางส่วน (U1) | 17:16 | ไม่เห็น |
เริ่มเกิดอุปราคาเต็มดวง (U2) | 18:58 | เห็น |
ดวงจันทร์อยู่กึ่งกลางคลาส | 19:00 | เห็น |
สิ้นสุดอุปราคาเต็มดวง (U3) | 19:03 | เห็น |
สิ้นสุดอุปราคาบางส่วน (U4) | 20:45 | เห็น |
สิ้นสุดอุปราคาเงามัว (P4) | 21:59 | เห็น |
(ทั่วทั้งประเทศไทยสามารถสังเกตได้ทั้งเหตุการณ์) ในวันที่ 4 เมษายน 2558
การเตรียมตัวสังเกตปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง ในวันที่ 4 เมษายน 2558
การสังเกตปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงในวันที่ 4 เมษายน 2558 เนื่องจากเวลาในการเกิดปรากฏการณ์ครั้งนี้เป็นช่วงหัวค่ำซึ่งเป็นคืนวันเสาร์ โดยผู้สังเกตสามารถสังเกตการณ์ได้ตั้งแต่เริ่มเกิดปรากฏการณ์ใช้เวลารวมหมดในการเกิดอุปราคาประมาณ 3 ชั่วโมง 29 นาที และดวงจันทร์อยู่ในเงามืดของโลกหมดทั้งดวงเป็นระยะเวลาประมาณ 5 นาที
ในการชมปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงครั้งนี้สามารถทำได้ง่ายและปลอดภัยกว่าการสังเกตการณ์สุริยุปราคา เนื่องจากแสงจากดวงจันทร์ไม่เป็นอันตรายต่อตาเราจึงสามารถสังเกตดวงจันทร์ได้ด้วยตาเปล่าถึงแม้จะเป็นช่วงที่ดวงจันทร์เต็มดวงก็ตาม ขณะที่เกิดปรากฏการณ์เราจะสามารถสังเกตพื้นผิวของดวงจันทร์ทั่วทั้งบริเวณได้อย่างชัดเจนแล้ว ยังสามารถสังเกตเห็นสีที่เปลี่ยนไปของดวงจันทร์ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ปริมาณฝุ่น อนุภาคในบรรยากาศโลกได้อีกด้วย
ส่วนท่านใดที่ต้องการชมปรากฏการณ์จันทรุปราคาอย่างใกล้ชิด สามารถใช้อุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ช่วยเพิ่มอรรถรสในการชมปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้ เช่น กล้องสองตา (ทุกขนาด) กล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก หรืออุปกรณ์อื่นๆ ได้
การเกิดจันทรุปราคา (Lunar Eclipse) ปี 2551-2555
4 สิงหาคม 2551 วรเชษฐ์ บุญปลอด
รวบรวมผลการพยากรณ์การเกิดจันทรุปราคาด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ พัฒนาโดยนายวรเชษฐ์ บุญปลอด
จันทรุปราคา พ.ศ. 2551 – 2555
วัน เดือน ปี | เวลาบังเต็มที่ (เวลาประเทศไทย) | ชนิด | ผลการคำนวณ วิธีดั้งเดิม1 | ผลการคำนวณ วิธีดองชง2 | หมายเหตุ |
21 กุมภาพันธ์ 2551 | 10:26 น. | เต็มดวง | – | – | ประเทศไทยไม่เห็น |
17 สิงหาคม 2551 | 04:10 น. | บางส่วน | แผนภาพ | แผนภาพ | เห็นได้ในประเทศไทย |
9 กุมภาพันธ์ 2552 | 21:38 น. | เงามัว | แผนภาพ | แผนภาพ | เห็นได้ในประเทศไทย |
7 กรกฎาคม 2552 | 09:39 น. | เงามัว | – | – | ประเทศไทยไม่เห็น |
6 สิงหาคม 2552 | 07:39 น. | เงามัว | – | – | ประเทศไทยไม่เห็น |
1 มกราคม 2553 | 02:23 น. | บางส่วน | แผนภาพ | แผนภาพ | เห็นได้ในประเทศไทย |
26 มิถุนายน 2553 | 18:38 น. | บางส่วน | แผนภาพ | แผนภาพ | เห็นได้ในประเทศไทย |
21 ธันวาคม 2553 | 15:17 น. | เต็มดวง | – | – | ประเทศไทยไม่เห็น |
16 มิถุนายน 2554 | 03:13 น. | เต็มดวง | แผนภาพ | แผนภาพ | เห็นได้ในประเทศไทย |
10 ธันวาคม 2554 | 21:32 น. | เต็มดวง | แผนภาพ | แผนภาพ | เห็นได้ในประเทศไทย |
4 มิถุนายน 2555 | 18:03 น. | บางส่วน | แผนภาพ | แผนภาพ | เห็นได้ในประเทศไทย |
28 พฤศจิกายน 2555 | 21:33 น. | เงามัว | แผนภาพ | แผนภาพ | เห็นได้ในประเทศไทย |
หมายเหตุ :
- วิธีดั้งเดิม หมายถึง การคำนวณโดยให้เงาโลกขยายร้อยละ 2% อันเป็นผลจากบรรยากาศ ผลการคำนวณนี้ตรงกันหรือใกล้เคียงกับที่พบได้ใน Astronomical Almanac รายปี
- วิธีดองชง เป็นวิธีคำนวณขนาดของเงาโลกที่เสนอโดย อองเดร ดองชง (Andre Danjon) ผลการคำนวณนี้ตรงกันหรือใกล้เคียงกับที่พิมพ์ใน Connaissance des Temps ของฝรั่งเศส และใกล้เคียงกับผลการคำนวณโดยเฟร็ด เอสพีแน็ก (Fred Espenak – NASA/GSFC) ซึ่งตีพิมพ์ใน Observer’s Handbook รายปี (เฟร็ดเริ่มใช้วิธีดองชงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007)
- เวลาที่คำนวณได้นี้ อาจแตกต่างจากผลการคำนวณของนักดาราศาสตร์ท่านอื่น ๆ ได้เล็กน้อย อันเนื่องมาจากค่าคงที่บางค่าและวิธีคำนวณที่อาจต่างกันเล็กน้อย ตำแหน่งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่ใช้ก็เป็นคนละระบบ ปัจจัยต่อมา คือ ความไม่แน่นอนของค่าความต่างระหว่างเวลา UT กับเวลา TDT (deltaT) ซึ่งไม่สามารถทราบได้ล่วงหน้า (มีผลเล็กน้อยราว 1-2 วินาที ในระยะไม่เกิน 5 ปีนี้)
การเกิดจันทรุปราคา (Lunar Eclipse) พ.ศ. 2551
ท้องฟ้าเดือนสิงหาคม 2551
เวลา 20.00 – 22.00 น. ดาวอังคารกับดาวเสาร์ตกลับขอบฟ้าไปแล้ว ทิศใต้จะเห็นดาวพฤหัสบดีอยู่ในกลุ่มดาวคนยิงธนู หากท้องฟ้าไม่มีเมฆมากจะเป็นช่วงเวลาที่เห็นทางช้างเผือกได้ดีที่สุดช่วงหนึ่ง ทางช้างเผือกเป็นดาราจักรที่ดวงอาทิตย์และระบบสุริยะเป็นสมาชิก เราสามารถมองเห็นทางช้างเผือกปรากฏเป็นแถบจางฝ้ามัวพาดท้องฟ้า ดูคล้ายเมฆในเวลากลางคืน บริเวณที่ทางช้างเผือกสว่างที่สุดอยู่ในทิศทางของกลุ่มดาวคนยิงธนูเยื้องไปทางกลุ่มดาวแมงป่อง ซึ่งขณะนี้อยู่สูงบนท้องฟ้าทิศใต้ เมื่อใช้กล้องสองตาสำรวจดูจะพบกับวัตถุท้องฟ้าหลากหลายชนิด ทั้งเนบิวลาและกระจุกดาว กลุ่มดาวคนแบกงูอยู่ตรงกลางระหว่างคนยิงธนูกับแมงป่อง แม้กลุ่มดาวนี้โดยทั่วไปไม่ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มดาวจักรราศี แต่ดวงอาทิตย์ก็มีเส้นทางผ่านพื้นที่ของกลุ่มดาวคนแบกงูในช่วงประมาณวันที่ 30 พฤศจิกายน – 19 ธันวาคม ของทุกปี
เวลา 3.00 – 5.00 น. ดาวพฤหัสบดีตกลับขอบฟ้าไปแล้วจึงไม่เหลือดาวเคราะห์สว่างอยู่เลย กลุ่มดาวแคสซิโอเปียหรือที่ไทยเราเรียกว่ากลุ่มดาวค้างคาวอยู่สูงเด่นบนท้องฟ้าทิศเหนือ กลุ่มดาวหงส์อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ดาวสว่างบนท้องฟ้าทิศใต้คือดาวอะเคอร์นาร์ในกลุ่มดาวแม่น้ำ กลุ่มดาวแม่น้ำเป็นกลุ่มดาวที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ลากยาวคดเคี้ยวจากดาวอะเคอร์นาร์ไปทางกลุ่มดาวนายพราน สิ้นสุดใกล้ดาวไรเจล กลุ่มดาวนายพรานเป็นกลุ่มดาวเด่นที่สุดกลุ่มหนึ่งบนท้องฟ้า ดาวสว่างอีกดวงหนึ่งในกลุ่มดาวนี้คือดาวเบเทลจุส ทางขวาของกลุ่มดาวนายพรานมีกลุ่มดาวขนาดเล็กชื่อกลุ่มดาวกระต่ายป่า ลงมาใกล้ขอบฟ้าอาจสังเกตเห็นดาวสว่างดวงหนึ่งกะพริบแสงถี่ ๆ นั่นคือดาวซิริอัสในกลุ่มดาวหมาใหญ่ โดยปกติดาวซิริอัสมีสีขาวแต่อาจเห็นสีแปลกไปเมื่ออยู่ใกล้ขอบฟ้า
พ.ศ. 2551
- จันทรุปราคา : 17 สิงหาคม 2551 (3/8/51)
- ดาวเคราะห์เดือนนี้ (1/8/51)
- สุริยุปราคา : 1 สิงหาคม 2551 (19/7/51)
- สถานีอวกาศกับกระสวยอวกาศ (12/6/51)
- ดวงจันทร์บังดาวอังคาร : 10 พฤษภาคม 2551 (3/5/51)
- สถานีอวกาศกับกระสวยอวกาศ (19/2/51)
- ดาวศุกร์พบดาวพฤหัสบดี (31/1/51)
- ดาวเคราะห์ในปี 2551 (13/1/51)
- อุปราคาในปี 2551 (30/12/50)
- ฝนดาวตกในปี 2551 (30/12/50)
จันทรุปราคา 17 สิงหาคม 2551
3 สิงหาคม 2551 วรเชษฐ์ บุญปลอด
ปีนี้มีจันทรุปราคาที่สามารถสังเกตเห็นได้ในประเทศไทยเพียงครั้งเดียว เกิดในคืนวันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม ถึงเช้ามืดวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม 2551 พื้นที่บางส่วนของดวงจันทร์เท่านั้นที่เคลื่อนผ่านเงามืดของโลก เราจึงเรียกว่าจันทรุปราคาบางส่วน
เงาโลกมีรูปร่างเป็นทรงกรวย ฐานของกรวยอยู่ที่โลก ปลายกรวยทอดยาวออกไปสู่ด้านตรงข้ามดวงอาทิตย์ แบ่งได้เป็นสองส่วนคือเงามืดและเงามัว เงามืดทึบกว่าเงามัวมาก แต่มันไม่มืดสนิทเพราะได้รับแสงอาทิตย์ที่หักเหผ่านบรรยากาศโลก
จันทรุปราคาครั้งนี้ดวงจันทร์เริ่มสัมผัสเงามัวตั้งแต่เวลา 1.25 น. แต่เราจะยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ จนกระทั่งดวงจันทร์เคลื่อนเข้าใกล้เงามืดมากขึ้น เวลาประมาณ 2.20 น. อาจเริ่มเห็นด้านตะวันออกของดวงจันทร์มีลักษณะคล้ำลงเล็กน้อยและมืดมัวลงทุกที (ถ้าเทียบกับขอบฟ้า ตำแหน่งนี้อยู่ทางด้านบนของดวงจันทร์ เฉียงไปทางซ้ายมือ)
จันทรุปราคาบางส่วนเริ่มต้นในเวลา 2.36 น. เมื่อขอบดวงจันทร์สัมผัสกับขอบเงามืด เวลานั้นดวงจันทร์มีมุมเงยประมาณ 45 องศา หรือกึ่งกลางระหว่างขอบฟ้ากับจุดเหนือศีรษะ ดวงจันทร์เคลื่อนเข้าใกล้ศูนย์กลางเงามากขึ้น เราจึงเห็นดวงจันทร์แหว่งเว้ามากยิ่งขึ้น เวลา 4.10 น. ดวงจันทร์เข้าใกล้ศูนย์กลางเงามากที่สุด เงามืดกินลึกเข้าไปประมาณร้อยละ 81 ของเส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์ เราจะเห็นดวงจันทร์มีเสี้ยวสว่างอยู่ทางขวามือและอยู่สูงเหนือขอบฟ้าไม่เกิน 30 องศา
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ดวงจันทร์จะเริ่มเคลื่อนตัวออกห่างจากเงาโลก ส่วนมืดคล้ำบนดวงจันทร์จะหดเล็กลงจนกระทั่งสิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วนในเวลา 5.44 น. ที่กรุงเทพฯ ดวงจันทร์มีมุมเงยประมาณ 6 องศา จังหวัดในภาคอีสานเห็นดวงจันทร์อยู่ใกล้ขอบฟ้ามากแล้ว ช่วงเวลาสิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วนนี้ เป็นเวลาที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างพอสมควรแล้ว อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์จะสิ้นสุดอย่างสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อดวงจันทร์ออกจากเงามัวในเวลา 6.55 น. เป็นเวลาที่ดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้าไปแล้วสำหรับประเทศไทย
ขั้นตอนการเกิดจันทรุปราคาบางส่วน 17 สิงหาคม 2551 | |||
---|---|---|---|
เหตุการณ์ | เวลา | มุมเงย (ที่กรุงเทพฯ) | มุมทิศ (ที่กรุงเทพฯ) |
1. ดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงามัวของโลก (ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง) | 01:24:47 น. | 57° | 213° |
2. เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน (ดวงจันทร์เริ่มแหว่ง) | 02:36:04 น. | 46° | 233° |
3. กึ่งกลางของปรากฏการณ์ (ดวงจันทร์เข้าไปในเงาลึกที่สุด) | 04:10:06 น. | 27° | 247° |
4. สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน (ดวงจันทร์ทั้งดวงออกจากเงามืด) | 05:44:14 น. | 6° | 255° |
5. ดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลก | 06:55:23 น. | -11° | 260° |
พื้นที่บนโลกที่เห็นจันทรุปราคาครั้งนี้พร้อมกัน ได้แก่ ประเทศในทวีปยุโรป แอฟริกา เอเชีย และด้านตะวันตกของออสเตรเลีย ทวีปเอเชียและออสเตรเลียเห็นปรากฏการณ์ในเช้ามืดวันที่ 17 สิงหาคม ส่วนทวีปยุโรปและแอฟริกาเห็นในคืนวันที่ 16 สิงหาคม
ปี 2552 ประเทศไทยมีโอกาสเห็นจันทรุปราคาเงามัวในคืนวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ซึ่งแม้ว่าดวงจันทร์จะไม่ได้สัมผัสเงามืดเลย แต่อาจสังเกตได้ว่าขอบดวงจันทร์คล้ำลงเล็กน้อย คืนวันส่งท้ายปี 2552 เข้าสู่ปี 2553 จะเกิดจันทรุปราคาบางส่วนขึ้นอีกครั้ง ดวงจันทร์แหว่งเพียงร้อยละ 8
จันทรุปราคา
ในวันลอยกระทง 8 พฤศจิกายน 2565
เวลาหัวค่ำของวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งตรงกับขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 จะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์ทั้งดวงผ่านเข้าไปในเงามืดของโลก นอกจากนี้ ยังเกิดปรากฏการณ์ดวงจันทร์บังดาวยูเรนัสในเวลาเดียวกันอีกด้วย
ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดแสงที่มีรูปร่างเป็นดวงกลมสว่าง ทำให้เงาของโลกแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนมืดเรียกว่าเงามืด บริเวณที่มืดน้อยกว่ามากเรียกว่าเงามัว ช่วงที่ดวงจันทร์อยู่ในเงามัว ดวงจันทร์มีความสว่างลดลงเพียงเล็กน้อย แทบไม่สามารถสังเกตได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบนดวงจันทร์ ช่วงที่เกิดจันทรุปราคาบางส่วนหรือเต็มดวง ผิวดวงจันทร์ส่วนที่อยู่ในเงามืดจะมืดลงอย่างชัดเจน สามารถสังเกตเห็นรูปร่างและสีสันของดวงจันทร์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ด้วยตาเปล่า
เหตุการณ์ | เวลา |
---|---|
1. ดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงามัวของโลก | 15:02:15 (ไม่เห็น เนื่องจากดวงจันทร์ยังไม่ขึ้น) |
2. เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน | 16:09:12 (ไม่เห็น เนื่องจากดวงจันทร์ยังไม่ขึ้น) |
3. เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง | 17:16:39 (ไม่เห็น เนื่องจากดวงจันทร์ยังไม่ขึ้น) |
4. ดวงจันทร์เข้าไปในเงาลึกที่สุด | 17:59:10 (ขนาดอุปราคา = 1.3592) |
5. สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง | 18:41:39 (ดวงจันทร์เริ่มออกจากเงามืด) |
6. สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน | 19:49:05 (ดวงจันทร์กลับมาสว่างเต็มดวง) |
7. ดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลก | 20:56:11 |
เส้นทางการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์เทียบกับเงาโลกขณะเกิดจันทรุปราคาในคืนวันลอยกระทง (จาก วรเชษฐ์ บุญปลอด)
เมื่อสังเกตจากประเทศไทย จันทรุปราคาในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 เริ่มขึ้นก่อนที่ดวงจันทร์จะโผล่เหนือขอบฟ้า และดวงอาทิตย์ยังไม่ตก เราจึงไม่สามารถเห็นในช่วงเริ่มปรากฏการณ์ได้ เมื่อดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ดวงจันทร์จะขึ้นเหนือขอบฟ้าในทิศตรงกันข้าม เราอาจต้องรอให้ดวงจันทร์เคลื่อนสูงขึ้นและท้องฟ้ามืดลงอีกเล็กน้อย จึงเริ่มสังเกตเห็นดวงจันทร์ได้ ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่ในเงามืดของโลกทั้งดวง หากขอบฟ้าทิศตะวันออกไม่มีสิ่งใดบดบัง เราอาจเห็นดวงจันทร์ได้ราง ๆ เนื่องจากขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์ไม่ได้มืดมิดไปทั้งหมด แสงอาทิตย์ที่หักเหและกระเจิงผ่านบรรยากาศโลก ทำให้ผิวดวงจันทร์ไม่มืดสนิท
ภาพจำลองขณะดวงจันทร์ทั้งดวงขึ้นมาอยู่เหนือขอบฟ้าในเวลา 17:47 น. เมื่อสังเกตจากกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเวลาที่ท้องฟ้ายังไม่มืด เราอาจยังไม่เห็นดวงจันทร์ในทันที เนื่องจากดวงจันทร์อาจยังถูกบดบังจากหมอกควันใกล้ขอบฟ้า (จาก Stellarium)
เมื่อเวลาผ่านไป ดวงจันทร์และดาวต่าง ๆ ที่อยู่ทางทิศตะวันออกจะค่อย ๆ เคลื่อนสูงขึ้นตามการหมุนของโลก พร้อมกับที่ดวงจันทร์เคลื่อนออกจากเงาโลก ดวงจันทร์อยู่ใกล้ศูนย์กลางเงาโลกมากที่สุดในเวลา 17:59 น. ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่ใกล้ขอบฟ้ามาก ภาคใต้ตอนล่างเห็นดวงจันทร์อยู่ต่ำใกล้ขอบฟ้ามากที่สุด (และอาจมีโอกาสเห็นได้ยากที่สุด) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเห็นดวงจันทร์อยู่สูงที่สุด และท้องฟ้ายังสว่างอยู่ด้วยแสงสนธยา
จันทรุปราคาเต็มดวงจะสิ้นสุดลงในเวลา 18:42 น. เป็นจังหวะที่เริ่มมีแสงสว่างขึ้นที่ขอบดวงจันทร์ และท้องฟ้ามืดลงพอสมควรแล้ว จากนั้นดวงจันทร์จะออกจากเงามืดทั้งดวง หรือสิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วนในเวลา 19:49 น. แม้ว่าดวงจันทร์จะกลับมาสว่างเต็มดวงแล้ว แต่ปรากฏการณ์ยังไม่สิ้นสุดเสียทีเดียว ผิวดวงจันทร์ยังคงหมองคล้ำอยู่เล็กน้อยต่อไปอีกราว 1 ชั่วโมง จนกระทั่งดวงจันทร์ออกจากเงามัวในเวลา 20:56 น.
เวลาสัมผัสเงาในแต่ละขั้นตอนของจันทรุปราคาเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ แต่ตำแหน่งดวงจันทร์ที่มองเห็นจากแต่ละสถานที่ไม่เหมือนกัน ดังแสดงตัวอย่างในตารางต่อไปนี้
สถานที่ | บังลึกที่สุด 17:59 น. | สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง 18:42 น. | สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน 19:49 น. |
---|---|---|---|
กรุงเทพฯ | 3° | 12° | 28° |
ขอนแก่น | 6° | 15° | 31° |
จันทบุรี | 4° | 13° | 29° |
เชียงใหม่ | 3° | 12° | 27° |
นครพนม | 8° | 17° | 33° |
นครราชสีมา | 5° | 14° | 30° |
นราธิวาส | 2° | 12° | 27° |
ประจวบคีรีขันธ์ | 2° | 11° | 27° |
ภูเก็ต | – | 9° | 24° |
หาดใหญ่ | 1° | 10° | 26° |
อุบลราชธานี | 7° | 17° | 32° |
จากตารางพอจะกล่าวได้ว่า หากไม่คำนึงถึงสภาพอากาศหรือปริมาณเมฆ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่ซึ่งสังเกตจันทรุปราคาครั้งนี้ได้ดีกว่าภาคอื่น ๆ
ย่อ