รคไม่ติดต่อ
สร้างโดย : นายสมาน ถวิลกิจ และนางสาวสุพัตรา บุญพรม
โรคผดผื่นคัน
สร้างเมื่อศุกร์, 27/11/2009 – 14:12
มีผู้อ่าน 45,891 ครั้ง (13/10/2022)
โรคผดผื่นคัน
ผื่น เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของหลอดเลือดในชั้นหนังแท้ ต่อสิ่งกระตุ้นจากภายนอกและภายในร่างกาย เช่น อาหาร ยา เชื้อโรค และสภาวะทางฟิสิกส์
อาการของผื่นลมพิษเกิดขึ้นเมื่อร่างกายผู้ป่วยได้รับสิ่งที่ตัวเองแพ้เข้าสู่ผิวหนังโดยการรับประทาน สัมผัส หรือโดยการฉีดเข้ากล้าม เข้าใต้ผิวหนังหรือเข้าหลอดเลือดสิ่งกระตุ้นที่ผู้ป่วย จะทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังขยายตัว สารน้ำในหลอดเลือดจะซึมออกนอกหลอดเลือด เกิดอาการแดง บวม ร้อน คัน บางครั้งอาจมีอาการเจ็บร่วมด้วยได้ ถ้าการขยายตัวของหลอดเลือดเกิดในหนังแท้ส่วนบนๆ อาการบวม แดง ร้อน จะเห็นชัดเจนเรียก ลมพิษชนิดตื้น (urticaria) ถ้าการขยายตัวของหลอดเลือดเกิดในส่วนลึกของหนังแท้ อาการแดงมักเห็นไม่ชัดเจน แต่จะ พบอาการบวมมากกว่าเรียก ลมพิษชนิดลึก (angioedema) ผื่นลมพิษชนิดตื้นเกิดบริเวณใดของผิวหนังก็ได้ มีขนาดตั้งแต่เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 ซม. จนถึงขนาด 20 ซม. ผื่นมีหลายรูปแบบ เช่น กลม, รี, วงแหวน, วงแหวนหลายๆวงมาต่อกัน หรือเป็นรูปแผนที่ ผื่นลมพิษชนิดลึกมักเกิด บริเวณรอบตา ปาก ปลายแขน รายที่เป็นรุนแรงจะบวมมาก โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า และลำคอ ซึ่งเป็นเครื่องเตือนว่าผู้ป่วยอาจเกิดอันตราย จากการอุดตันของทางเดินลมหายใจ ถ้าผู้ป่วยมีอาการแน่น หายใจไม่สะดวก ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนเพื่อรับการรักษา
อาการ
ลักษณะอาการของผื่นลมพิษมีลักษณะสำคัญ คือ อาการบวม แดงที่ผิวหนังปต่ละตำแหน่งเป็นอยู่ไม่เกิน 24 ชม. ก็จะยุบไป แต่จะไปเกิด บริเวณอื่นของผิวหนังได้ มี 2 ชนิด คือ
- ลมพิษชนิดเฉียบพลัน คือ ผื่นลมพิษที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บางรายอาจรุนแรง ลมพิษชนิดนี้ส่วนใหญ่หายไปใน 6 สัปดาห์ แตกต่าง จากลมพิษชนิดเรื้อรัง คือ อาการของโรคเพิ่งเกิดขึ้น ผู้ป่วยจึงสามารถบอกถึงความสัมพันธ์ของผื่นลมพิษกับสาเหตุของโรคได้ โรคติดเชื้อ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เป็นสาเหตุของลมพิษชนิดเฉียบพลันที่พบบ่อย อาการผื่นลมพิษอาจนำหน้าอาการ ไอเจ็บคอ ท้องเดิน ที่เกิดจากเชื้อไวรัสหรือ แบคทีเรียหรือเกิดภายหลังอาการดังกล่าวก็ได้ แต่มักอยู่ในระยะ 2 สัปดาห์ หลังเกิดอาการ และลมพิษชนิดนี้อาจกลายเป็นลมพิษชนิดเรื้อรังได้ และที่แตกต่างอีกประการหนึ่งของผู้ที่เป็นโรคลมพิษเฉียบพลันคือ มักพบความสัมพันธ์ชัดเจนกับสารเคมีที่เป็นสาเหตุ เช่น ยา หรืออาหารที่ ผู้ป่วยรับประทาน ซึ่งผู้ป่วยมักจะได้สารเคมีนั้นในระยะ 2 สัปดาห์ก่อนเกิดผื่น
- ลมพิษชนิดเรื้อรัง คือ ผื่นลมพิษที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่รุนแรง ผื่นจะขึ้นๆ ยุบๆ เป็นอยู่นานเกิน 6 สัปดาห์ ส่วนใหญ่หา
สาเหตุ
ผู้ป่วยจึงมีอาการผื่นลมพิษเป็นๆ หายๆ นานเป็นเดือนหรือเป็นปี
- เกิดจากเชื้อโรค ได้แก่ ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือพยาธิ เป็นสาเหตุของลมพิษที่พบบ่อย เชื้อโรคเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายทางใดก็ได้ เช่น ทางเดินอาหาร ทางเดินลมหายใจ ทางเดินปัสสาวะ และผิวหนัง
- สารเคมี ที่สำคัญคือ อาหารและยา ที่ผู้ป่วยรับประทานอยู่ในช่วง 1-2 สัปดาห์ ก่อนเกิดผื่นลมพิษ ปัจจุบันสารเคมี อาจปนเปื้อนมากับ อาหารที่รับประทาน โดยไม่สามารถทราบได้เลย ตัวอย่าง เช่น ยาปฏิชีวนะที่ตกค้างอยู่ในเนื้อไก่, เนื้อปลา, ยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนอยู่ในผัก ผลไม้ เป็นต้น จึงเป็นการยากที่จะจับสาเหตุของลมพิษในผู้ป่วยทุกรายได้
- สภาวะทางฟิสิกส์ เช่น ความร้อน ความเย็น แสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญของผื่นลมพิษได้เช่นเดียวกัน
ควรหลีกเลี่ยง
- หลีกเลี่ยง หรือกำจัดสาเหตุของผื่นลมพิษ ถ้าสามารถทำได้ผู้ป่วยจะหายขาดจากโรคลมพิษวิธีกำจัดสาเหตุของลมพิษให้ปฏิบัติดังนี้
ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อเป็นการขับสารพิษที่เป็นต้นเหตุของผื่นลมพิษออกไปทางไต และควรระวังไม่ให้ท้องผูก เพื่อเป็นการกำจัดของ เสียออกทางอุจจาระ
หลีกเลี่ยงปัจจัยที่เป็นต้นเหตุของลมพิษ ได้แก่ อาหารทะเล, อาหารหมักดอง, อาหารที่มียากันบูด, อาหารกระป๋อง, ถั่ว, หนื้อสัตว์ เช่น ไก่ หมู เพราะอาจมียาปฏิชีวนะตกค้างอยู่ในเนื้อ นอกจากนี้ผัก ผลไม้ที่รับประทานควรแช่น้ำและล้างให้สะอาด เพื่อกำจัดยาฆ่าแมลงและ สารเคมีที่ปนเปื้อนบนผิว หรือเปลือกผลไม้ - กรณีที่ไม่ทราบสาเหตุของผื่นลมพิษ หรือทราบสาเหตุแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ให้ผู้ป่วยรับประทานยาแก้แพ้ ได้แก่ ยาต้านฮิสตามีน ซึ่งมีอยู่ 2 กลุ่ม ดังนี้
ยาต้านฮิสตามีนชนิดที่ทำให้ง่วงน้อย ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์กดอาการลมพิษได้ดี ทำให้ง่วงนอน แต่ราคาแพง ได้แก่ Astemizole, Loratadine เป็นต้น
การรักษา
ยาต้านฮิสตามีนชนิดที่ทำให้ง่วงซึม มีฤทธิ์กดอาการผื่นคันดีมาก ข้อจำกัดของยากลุ่มนี้คือ อาการง่วงนอน ซึ่งพบบ่อยกว่ายากลุ่ม แรก ยากลุ่มนี้มีหลายชนิด เช่น Chlorpheniramine, Brompheniramine เป็นต้น
กรณีที่เป็นลมพิษเรื้อรัง หาสาเหตุไม่ได้ ควรรับประทานยาต้านฮิสตามีนเพื่อคุมอาการของลมพิษให้สงบติดต่อกันนาน 2-4 สัปดาห์ ขาดของยาต้านฮิสตามีนที่จะใช้การคุมอาการลมพิษ จะแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน การรับประทานยาต้านฮิสตามีนในระยะยาวควรอยู่ ภายใต้การดูแลของแพทย์ และกรณีที่ผื่นลมพิษรุนแรง รวมกับอาการแน่นหน้าอก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป
แหล่งอ้างอิง: http://www4.msu.ac.th/satit/studentProj/2546/M104/HEALTHTY/data14.html