นักชีววิทยาค้นพบว่า
บรรพบุรุษของแมว ถือกำเนิดขึ้นกว่า 50 ล้านปีมาแล้ว
เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและกินเนื้อเป็นอาหาร เรียกว่า
Miacisและได้วิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ จนคล้ายแมวในปัจจุบัน
เมื่อประมาณ 10 ล้านปีก่อน มีสัตว์ลักษณะคล้ายแมวเรียกว่า
Dinistis มีขนาดของลำตัวและรูปร่างเท่ากับแมวป่าดูเหมือนพันธุ์ของสุนัขซึ่งแมวในยุคสมัยหนึ่งล้านปีก่อนยุคที่มนุษย์เพิ่งจะเกิด
ขึ้นบนโลก ได้รับวิวัฒนาการมาจาก Dinistis มีฟันเหมือนพวกสุนัขและเสือ
แต่ปัจจุบันสัตว์ชนิดนี้ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ต้นตระกูลของแมวแยกมาจากเสือไซบีเรียนที่มีช่วงลำตัวนับตั้งแต่บริเวณจมูกมาถึงปลายหางยาวประมาณ
4 เมตร หรือมากกว่า13 ฟุต ผิวลำตัวบายดอกมีจุดสีน้ำตาลทึบ
สำหรับแมวที่มีต้นตระกูลอยู่ในประเทศอินเดียและศรีลังกามีช่วงลำตัวยาวมากกว่า
60 ซ.ม. หรือ 2 ฟุต ในปัจจุบันได้มีการรวบรวมสายพันธุ์แมวไว้ทั้งหมดไว้ถึง
36 ชนิดโดยจัดแมวทั้งหมดไว้ตระกูลเดียวกันกับ สิงโตและเสือดาว
แต่ที่กล่าวมานี้ไม่ใช่ต้นตระกูลของแมวบ้าน เป็นเพียงสายพันธุ์หนึ่งสัตว์ตระกูลนี้
ต้นตระกูลของแมวบ้านจริง ๆ นั้นและต้นตระกูลของแมวพื้นเมือง
ต่างๆ สำหรับแมวบ้านที่เราเลี้ยงกันอยู่มีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับแมวป่าอันเป็นพันธุ์ดั้งเดิมเก่าแก่ของโลกตามปกติแมวที่เรานำมาเลี้ยงในบ้านมีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติที่ได้จาก
การผสมพันธุ์พัฒนามาจากแมวป่าแอฟริกากับแมวป่าแถบยุโรป
เทพีบาสต์
ต่อมาก็ถึงยุคอียิปต์โบราณ
ยุคนี้เป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของแมว เมื่อประมาณ
4000 กว่าปีก่อนพวกชาวนาได้นำแมวป่า หรือเรียกได้ว่าเป็นแมวพื้นเมืองของอียิปต์
มาฝึกให้เชื่องเพื่อใช้จับหนูในโรงนา คงจะเป็นเพราะหนูในโรงนาหมดไป
ทำให้ผลิตผลและพืชพันธุ์เสียหายน้อยลงประชาชนก็มีอาหารอุดมสมบูรณ์และไม่มีโรคที่เกิดเนื่องมาจากหนู
ชาวอียิปต์โบราณจึงนับถือแมวเป็นสัตว์เทพเจ้า
และเริ่มนับถือเทพเจ้าองค์หนึ่งคือ "เทพีบาสต์"
(ตัวเป็นคนแต่หัวเป็นแมว) เป็นเทพเจ้าแห่งความรักและความอุดมสมบูรณ์และมีถิ่นอยู่ที่เมืองบูบาสติส
นอกจากจะใช้แมวจับหนูในโรงนาแล้ว ยังใช้จับหนูบนเรือสินค้าด้วย
ตรงจุดนี้เลยเกิดความเชื่อว่าเมื่อเรือเทียบท่าแมวก็ลงจากเรือแต่ไม่ได้กลับขึ้นเรือ
จึงทำให้แมวแพร่พันธุ์ไปทั่วโลกในความจริงแล้วแมวมีอยู่ทุกทวีป
ชาวอียิปต์โบราณนี้นับถือแมวมากขนาดแมวในบ้านตายถึงกับต้องนำไปทำมัมมี่
(มัมมี่มนุษย์นั้นจะทำก็ต่อเมื่อเป็นศพของพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่และกษัตริย์เท่านั้น)
หาดูได้ที่พิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษ และถึงคราวที่อียิปต์โบราณล่มสลาย
ในเมื่อแมวเป็นสัตว์เทพเจ้าของชาวอียิปต์โบราณชาวอียิปต์โบราณมีกฎว่าผู้ใดฆ่าแมวก็จะต้องถูกลงโทษสถานหนักพวกที่ต้องการยึดครองอาณาจักรอียิปต์จึงใช้วิธีชั่วร้าย
อุ้มแมวไปรบด้วย ทหารอียิปต์จึงไม่อาจสู้ได้ แต่ถึงอียิปต์โบราณจะล่มสลายไป
ชาวอียิปต์ในสมัยนั้นก็ยังนับถือบูชาแมวเหมือนเดิม
สมัยนั้นโรมันปกครองอียิปต์ ใครฆ่าแมวยังถูกพวกอียิปต์ลงโทษประหารเลย
หลังจากอียิปต์โบราณล่มสลายไปแล้ว
เริ่มเข้าสู่ยุคกลาง ในยุโรปมีความเชื่อเรื่องแม่มดและความชั่วร้ายต่างๆ
ชาวยุโรปในยุคนี้กล่าวหาว่าแมว(ดำ) เป็นสัตว์เลี้ยงของแม่มด
ดังนั้นใครเลี้ยงแมวผู้นั้นจะถูกประณามว่าเป็นแม่มดร้าย
พวกนี้มักโดนเผาเป็นเป็นทั้งแมวทั้งคนในที่สุด
ความเชื่อเหล่านี้ทำให้แมวในยุโรปลดน้อยลงไป....เมื่อไม่มีแมวสิ่งที่เกิดตามมาก็คือกองทัพหนูไงล่ะ
กาฬโรคก็เลยระบาดหนักในแถบยุโรปยุคนั้น
ในยุคใกล้
ๆ กันนี้ ในแถบเอเชียอย่างญี่ปุ่นและจีน เริ่มเลี้ยงแมวมากขึ้นจากเดิมที่เคยเลี้ยงอยู่แล้ว
และที่ญี่ปุ่นก็ยังใช้แมวเป็นสัญลักษณ์นำโชค จะเห็นได้จาก
"แมวกวัก" ที่ใช้กันทั่วไปตามร้านค้า จะใช้กวักลูกค้าหรือกวักเงินก็แล้วแต่ท่าทางของแมวกวักตัวนั้น
ๆ และจีนก็เชื่อว่าแมวเป็นสัตว์นำโชคเช่นกัน
ความเชื่อบางอย่างในประเทศไทยก็มีนะคะ เช่น หากเห็นแมวล้างหน้า
ว่ากันว่า วันนั้นฝนจะตกค่ะ=^v^= ประเทศไทยก็นิยมเลี้ยงแมวมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว
เลี้ยงไว้เพื่อใช้จับหนูเหมือนกับชาวอียิปต์ และคนไทยก็ยังนับถือแมวอยู่เหมือนกัน
เพราะยังมีคำพูดที่ว่า" หากใครฆ่าแมว 1 ตัว เท่ากับฆ่าเณร
1 องค์ "
|