|
|
เสพยากับติดยา เมื่อกล่าวถึงปัญหาสารเสพติด ยังมีความเข้าใจผิดอยู่มากในเรื่องของ "การใช้ยา" และ"การเสพติดยา" ทำให้การพิจารณากระบวนการดูแลรักษาเป็นไปได้ค่อนข้างยุ่งยากรวมทั้งอาจทำให้เกิดปัญหาในกระบวนการประเมินผลกิจกรรมการรักษาด้วย ในช่วงเริ่มต้นของ "การใช้ยา" นั้น ผู้ใช้ยังอาจไม่มีสภาวะเสพติดเกิดขึ้น โดยเฉพาะหากใช้สารที่มีฤทธิ์เสพติดไม่สูง แต่เมื่อมีการใช้ต่อเนื่อง ฤทธิ์เสพติดที่สารนั้นมีต่อร่างกายจึงจะทำให้เกิด "ภาวะเสพติด" ขึ้น องค์การอนามัยโลกได้ให้การนิยามของภาวะที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดไว้ ดังนี้ 1. การใช้ยาในทางที่ผิด (Harmful use ,abuse) หมายถึง การใช้ยาเสพติดในลักษณะที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งทางด้านร่างกายและด้านจิตใจ เข่น ภาวะซึม เศร้าจากการดื่มสุราอย่างหนัก 2. การติดสารเสพติด (Depenedence syndome) หมายถึง ภาวะผิดปกติทางด้านพฤติกรรมสติปัญญาความคิดอ่าน และระบบสรีระร่างกายซึ่งเกิดภายหลังจาก การใช้สารเสพสารซำ ๆและมีอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ร่วมด้วย 1. มีความต้องการอย่างรุนแรงที่จะใช้สารตัวนั้น ๆ 2. มีความยากลำบากในการควบคุมการใช้ทั้งปริมาณและความถี่ 3. ยังคงใช้สารนั้นต่อไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย 4. หมกมุ่นอยู่กับการใช้สารเสพติดมากกว่าการทำกิจกรรมอื่นที่สำคัญกว่า 5. มีอาการดื้อยา คือ ต้องเพิ่มปริมาณการใช้ เพื่อให้ได้ผลเท่าเดิม 6. เมื่อหยุดการใช้ยาจะเกิดอาการขาดยาหรืออยากยาทางร่างกาย(Physical With drawal Stage) เข้าใจการเสพติด เมื่อเกิดภาวะเสพติดแล้ว ผู้เสพติดส่วนหนึ่งอาจอยู่ในภาวะ "เมินเฉย" คือไม่สนใจจะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงตนเอง หลีก เลี่ยงการยอมรับรู้เกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของพฤติกรรมที่มีอยู่ หรือบางรายอาจท้อใจเพราะม่สามารถที่จะหยุดพฤติกรรมเดิมได้ทั้งที่ได้พยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ครอบครัวสามารถมีบทบาทช่วยเหลือได้ด้วยดารให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของการเสพติดทั้งนี้ จำเป็นต้องเป็นไปบนพื้นฐานของการเสริมสร้างสัมพันธภาพให้ผู้เสพติดมีความหวังและเกิดสำนึกรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคมด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ชักดชวนให้มีการระบายความรู้สึกนึกคิด หรือใช้การบันทึกหรือบอกเล่าถึงชีวิตตนเองเพื่อให้ผู้เสพติดมีโอกาสใช้ความคิดทบทวนปัญหาชีวิตที่เกิดจากยาและต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมหรือนิสัยของตน ขั้นตอนนี้ อาจต้องใช้เวลา กำลังใจและความอดทนในทุกฝ่ายค่อนข้างสูงและสามารถเป็นไปได้โดยเทคนิคที่แตกต่างกันในแต่ลบะครอบครัว วิธีการหนึ่งที่อาจช่วยได้ คือ การส่งเสริมให้ผู้เสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาที่จะเป็นการจูงใจให้ผู้เสพติดเข้าใจภาวะการณ์และสภาพจิตใจของตนดียิ่งขึ้น เมื่อผู้เสพเริ่มยอมรับและคิดถึงข้อดีและข้อเสียของพฤติกรรมการเสพติด อาจเกิดภาวะสองจิตสองใจหรือรู้สึกลังเล ครอบครัวและผู้บำบัดควรช่วยให้ผู้เสพพัฒนาสุ่ขั้นตอนต่อไป คือ ให้หมั่นสำรวจตัวเองถึงผลดีผลร้ายของพฤติกรรมเดิม และเน้นเพิ่มการชี้ให้เห็นถึงข้อดีของพฤติกรรมใหม่ เช่น ชักชวนให้คิดว่า ชีวิตนี้น่าจะดีอย่างไรหากไม่ติดยา เมื่อผู้เสพมีความร่วมมือระดับหนึ่งแล้ว ควรมีการเตรียมพร้อมสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งรวมถึงการหาแนวปฏิบัติร่วมกัน ยำถึงความตั้งใจจริง เช่น สัญญากับตนเอง กับครอบครัวและกับบุคคลที่ผู้เสพติดเคารพนับถือ และการขจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงตนเอง คือ การเรียนรู้ถึงชีวิตใหม่ที่ไม่เป็นทาสยาเสพติด การร่วมมือในการบำบัดรักษาต่าง ๆ และการป้องกันไม่ให้เกิดติดยาซำอีกอาการของการเลิกใช้ยาหรือขาดยา โดยทั่วไป ผู้ป่วยที่เลิกใช้ยาบ้าจะมีอาการทางร่างกายเพียงเล็กน้อย เช่น มือสั่น เหงื่ออกมาก ปวดตามกล้ามเนื้อ ง่วงนอนจัด ปวดบิดในท้อง หิวจัด วิงเวียน อ่อนเฟลีย อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นหลังจากการขาดยาไปเพียง 2-3 วัน แม้อาการทางกายจะมีเล็กน้อยดังกล่าว แต่ผู้ใช้จะมีความรู้สึกทุกข์ทรมานมาก จากความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนอาจไม่มีแรงแม้จะรับประทานอาหารได้ รู้สึกกระวนกระวายกระสับกระสาย ความคิดสับสน เช่น ไม่รู้ว่า ตนเองเป็นใคร อยู่ที่ไหน ปวดศีรษะ มีความรู้สึกร้อนสลับกับหนาวจัด และผู้ที่ใช้ยาอาจทุรนทุรายจนเอะอะอาละวาดทำร้ายผู้อยู่ใกล้เคียงได้ ปํยหาที่สำคัญคือ อาจพยายามฆ่าตัวตายได้ เพราะภาวะซึมเศร้าจากการขาดยา ความรู้สึกเหล่านี้มักคงอยู่เป็นสัปดาห์ ทำให้ผู้เสพติดพ่ายแพ้จนกระทั่งนำไปสู่การแสวงหายานี้มาใช้อีก เพื่อบำบัดตัวเองให้พ้นจากความทรมาน กลายเป็นวัฏจักรที่ไม่สิ้นสุดของการเสพติด อย่างไรก็ตาม ในหมู่ผู้ที่มุ่งมั่นและมีความพร้อมต่อการเลิกยา อาจพยายามผ่านพ้นอาการทุกข์ทรมานต่าง ๆ ข้างต้นได้และสามารถนำไปสู่การลิกใช้ยาในที่สุดกระบวนการเลิกยาเสพติด โดยทั่วไปการเลิกยาในแต่ละบุคคลจะมีความแตกต่างกัน แต่อาจแบ่งออกเป้นระยะกว้าง ๆ ได้ ดังนี้ ระยะมีอาการขาดยา เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 2-10 หลังจากการหยุดยาอาการที่รุนแรงคือ อาการอยากยาและซึมเศร้า มีหลายคนที่มีอาการไม่รุนแรง เช่น มีเพียงปัญหา การนอนหลับยาก กินเก่ง และไม่มีสมาธิ ระยะฮันนี่มูน เป็นระยะต่อเนื่องจากระยะขาดยาและคงอยู่ได้นานถึง 6 สัปดาห์ ในช่วงนี้ผู้เลิกยาจะรู้สึกมีกำลังใจเพิ่มขึ้น กระตือรือร้น มองโลกในแง่ดี มีความเชื่อมั่นมากจนหลายคนเข้าใจผิดว่าระยะนี้ เป็นการสิ้นสุดกระบวนการรักษาทั้งที่ในความเป็นจริง ยังมีความเสี่ยงต่อการกลับไปใช้ยารออยู่ในระยะต่อไป ระยะฝ่าอุปสรรค จาก 6 สัปดาห์ ถึงประมาณ 4 เดือนหลังเลิกยา ผู้เลิกยาจะรู้สึกรำคาญและเกิดอารมณ์ยุ่งยากและไม่สามารถใช้ความคิดได้เต็มที่ ส่วนมากผู้ป่วยจะมีอารมณ์เศร้า หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ ไม่มีกำลัง และขาดความกระตือรือร้น เป็นระยะที่มีความเสี่ยงสูงมากในการกลับไปใช้ยาซำ ระยะปรับตัวหรือระยะคลี่คลาย การเรียนรู้ถึงระยะต่าง ๆ ของการเลิกยาที่ผ่านมาจะช่วยให้ผู้เลิกยาเข้าใจสิ่งที่อาจชักนำให้กลับไปใช้ยาและเตรียมพร้อมต่อการแก้ไขอาการหรือปัญหาต่าง ๆ ซึ่งเป็นหลักสำคัญในระยะปรับตัวโดยทั่วไป เมื่อผู้เลิกยาสามารถปรับตัวใหม่กับชีวิตปกติ หลังหยุดยาได้ 1 ปี จะมีความพร้อมและปลอดภัยเพียงพอต่อการดำรงชีวิตตามปกติ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ๆ ในชีวิตได้ เช่น การเรียนต่อการย้ายที่อยู่ การแต่งงานและภาวะที่ส่งผลกระทบทางจิตใจอื่น ๆ ในภาวะเสพติด อาการอยากยาเกิดขึ้นได้จากฤทธิ์เสพติดทางกายของยา ขณะเดียวกันสิ่งแวดล้อมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับการเสพยาในประสบการณ์ของผู้เสพติด เช่น ยาเสพติด กลุ่มเพื่อน ผู้ค้ายา สถานที่ สิ่งของ ความรู้สึกและเวลา ล้วนเป็นสาเหตุร่วมที่ะกระตุ้นให้เกิดความคิดถึงกระบวนการเสพยาได้รุนแรงไม่แพ้ผลจากการเสพติดทางกาย ความคิดที่จะใช้ยาจะเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว หากผู้เสพติดปล่อยให้ตนเองคิดหมกมุ่นเรื่องการเสพยามากขึ้นเท่าใด โอกาสที่จะกลับไปใช้ยาก็มีมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น การที่ผู้เสพยาปล่อยตนเองให้คิดเกี่ยวกับการเสพยาอย่างต่อเนื่อง จะเป้นผลให้กลับไปใช้ยาอีก วิธีการที่จะช่วยป้องกันการเสพยาได้สำเร็จคือ การตระหนักรู้ถึงความคิดอยากยาของตัวเองให้เร็วที่สุดและหยุดความคิดไว้ตั้งแต่เริ่มต้นก่อนที่จะรู้สึกอยากยาและไม่สามารถควบคุมตนเองได้เมื่อผู้เสพติดสามารถหยุดยาได้แล้ว ต้องไม่ประมาท ควรระมัดระวังการติดยาซำอีก ต้องมีความอดทนให้สามารถหยุดยาได้อย่างถาวร และตระหนักชัดเจนว่า ยาเสพติดเป็นของแปลกปลอม ห้ามสัมผัสหรือแตะต้องโดยเด็ดขาด |
คุณเข้ามาเยี่ยมชมลำดับที่
ตั้งแต่วันจันทร์ที่
7 ตุลาคม 2545 Copyright(c) 2001 Miss Thanaporn Iamsoponkul. All rights reserved. |